วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แนวคิดของอริสโตเติล


โลกทัศน์ของอริสโตเติลที่มีต่อมนุษย์ ในทางการเมือง และสังคม
                อริสโตเติลมองว่า มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง  โดยได้ให้คำอธิบายไว้ว่า มนุษย์จะพัฒนาความเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อมารวมตัวกันเป็นสังคม เป็นเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ ในขณะที่สัตว์อื่น ๆ จะพัฒนาธรรมชาติที่แท้จริงของมันได้ก็ต่อเมื่อได้อาศัย ใช้ชีวิต และเจริญเติบโตในป่า เพราะเป็นสถานที่ที่มันจะได้พัฒนา เรียนรู้ธรรมชาติที่แท้จริงจากการกระทำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของมัน หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสัตว์จะพัฒนาไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของมันได้ก็โดย การอาศัยป่า หรือการกระทำหรือดำเนินชีวิตในป่า ในทำนองเดียวกัน การดำเนินชีวิต และการเจริญเติบโตในเมืองก็ทำให้มนุษย์ได้พัฒนา เรียนรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเองได้จากการกระทำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของตนในสังคมเมือง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษย์จะพัฒนาไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้ก็โดยการเมือง หรือการกระทำ การดำเนินชีวิตในเมือง
                ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การเมืองในความหมายของอริสโตเติลจึงมีความหมายกว้างกว่าคำว่าการเมืองในความเข้าใจของเราในปัจจุบัน เพราะถ้าพูดถึงคำว่า การเมือง ในปัจจุบันเราจะคิดไปถึงการลงสมัครรับเลือกตั้ง การใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง การร่วมกำหนดนโยบายสาธาณะ การเห็นด้วย หรือคัดค้านในนโยบายสาธารณะ ฯลฯ แต่คำว่าการเมือง ในความหมายของอริสโตเติลแล้ว นอกจากจะมีความหมายเหมือนดังที่เราเข้าใจแล้ว ยังหมายรวมครอบคลุมถึงการการกระทำ และกิจกรรมต่างๆที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันของมนุษย์ที่มาอยู่รวมกันเป็นสังคม และรวมถึงในขั้นตอน และกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของการพัฒนาจากครอบครัวมาสู่สังคมเมืองด้วย ด้วยเงื่อนไขที่อริสโตเติลกล่าวไว้ว่า  รัฐได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้วในเวลาเดียวกันกับที่ครอบครัวแรกของมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น
                จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การมาอยู่รวมกันเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ให้ชีวิตอยู่รอด และการดำรงเผ่าพันธุ์เท่านั้น แต่เพื่อการมีชีวิตที่ดีด้วย รัฐถือกำเนิดขึ้นเพื่อให้มนุษย์มีชีวิตอยู่รอด และดำรงอยู่เพื่อการมีชีวิตที่ดี เพราะการมาอยู่รวมกัน และการมีกิจกรรมปฏิสัมพันธ์กัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่จะช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาธรรมชาติที่แท้จริง และบรรลุภาวะอันสมบูรณ์สูงสุด ซึ่งเป็นสภาวะที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงบรรลุได้ตามธรรมชาติ
                เมื่อโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง มนุษย์จึงมีความรู้สึก มีความต้องการตามธรรมชาติที่จะมาอยู่รวมกัน แม้ว่าแต่ละคนจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ตาม ประโยชน์ร่วมกันนำคนมารวมกัน ซึ่งแต่ละคนสามารถที่จะบรรลุถึงชีวิตที่ดีของความเป็นมนุษย์ได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งชีวิตที่ดีนี้เองเป็นเป้าหมายสำคัญของทั้งปัจเจกบุคคลและของรัฐ  อริสโตเติลจึงได้กล่าวไว้ว่า การรวมตัวสุดท้ายที่ประกอบด้วยหมู่บ้านหลายหมู่บ้านก็คือ นครรัฐ(polis) มันได้บรรลุถึงที่สุดของความสมบูรณ์ทั้งหมดในตัวของมันเองอย่างแท้จริง และดังนั้น ในขณะที่มันถือกำเนิดขึ้นเพื่อการมีชีวิตอยู่ มันก็ดำรงอยู่เพื่อชีวิตที่ดี
แนวคิดของคาร์ล มาร์ก


คาร์ล ไฮน์ริช มาร์กซ์ (อังกฤษKarl Heinrich Marx5 พฤษภาคม พ.ศ. 2361 — 14 มีนาคม พ.ศ. 2426) เป็นนักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์การเมือง นักประวัติศาสตร์ นักสังคมนิยม นักคอมมิวนิสต์ และนักปฏิวัติชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคอมมิวนิสต์สมัยใหม่ มาร์กซ์ได้สรุปแนวคิดของเขาไว้ในบรรทัดแรกของ คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์ ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2391 ว่า: "ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนแต่ประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น"

มาร์กซ์ไม่ใช่เป็นแค่นักทฤษฎีทางสังคมและการเมือง แต่เขายังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดตั้งสมาคมกรรมกรสากล(International Workingmen's Association - เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "องค์กรสากลที่ 1") งานเขียนของเขาเป็นแกนหลักของการเคลื่อนไหวในแนวทางคอมมิวนิสต์, สังคมนิยม, ลัทธิเลนิน, และลัทธิมาร์กซ

แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อความคิดของมาร์ก

ความคิดของมาร์กซนั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากทั้งแนวคิดวิภาษวิธีประวัติศาสตร์ของเกออร์ก วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกิล (Georg Wilhelm Friedrich Hegelและเศรษฐศาสตร์การเมืองของแอดัม สมิท (Adam Smithและเดวิด ริคาร์โด (David Ricardoเขาเชื่อในความเป็นไปได้ที่จะศึกษาประวัติศาสตร์และสังคมในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะทำให้เข้าใจแนวโน้มของประวัติศาสตร์รวมถึงผลลัพธ์ของข้อขัดแย้งทางสังคมได้

ปรัชญาของมาร์กซ (ที่เฮเกล เรียกว่า วัตถุนิยมประวัติศาสตร์นั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงมาจากแนวคิดของเฮเกิลที่ว่าความจริง (รวมถึงประวัติศาสตร์) นั้นจะต้องพิจารณาแบบวิภาษวิธี (dialecticโดยมองว่าเป็นการปะทะกันของแรงคู่ตรงข้าม หลายครั้งแนวคิดนี้ถูกเขียนย่อว่าเป็น thesis + antithesis  synthesis (ข้อวินิจฉัย + ข้อโต้แย้ง  การประสมการสังเคราะห์) เฮเกลเชื่อว่าทิศทางของประวัติศาสตร์นั้นสามารถพิจารณาได้เป็นช่วง ๆ ที่มีเป้าหมายไปสู่ความสมบูรณ์และจริงแท้ เขากล่าวว่าหลายครั้งพัฒนาการจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็อาจมีบางช่วงที่ต้องมีการต่อสู้และเปลี่ยนแปลงผู้ที่อยู่ในอำนาจเดิม มาร์กซยอมรับภาพรวมของประวัติศาสตร์ตามที่เฮเกลเสนอ อย่างไรก็ตามเฮเกลนั้นเป็นนักปรัชญาแนวจิตนิยม ส่วนมาร์กซนั้นต้องการจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปของวัตถุ เขาได้เขียนว่านักปรัชญาสายเฮเกลนั้นวางความเป็นจริงไว้บนหัว ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจับมันให้วางเสียใหม่บนเท้าของตนเอง

ในการยอมรับวิภาษวิธีเชิงวัตถุ ซึ่งเป็นการปฏิเสธแนวคิดแบบจิตนิยมของเฮเกลนั้น มาร์กซได้รับอิทธิพลมาจาก ลุควิก ฟอยเออร์บาค(Ludwig Feuerbach). ในหนังสือ "The Essence of Christianity" ฟอยเออร์บาคได้อธิบายว่าพระเจ้านั้น คือผลงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ และคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผู้คนยกย่องพระเจ้านั้น แท้จริงแล้วเป็นคุณลักษณะของความเป็นมนุษย์นั่นเอง. มาร์กซยอมรับแนวคิดเช่นนี้ และได้อธิบายว่า โลกวัตถุนั้นเป็นโลกที่แท้จริง ส่วนแนวคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับโลกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากโลกวัตถุ แม้ว่ามาร์กซจะเชื่อเช่นเดียวกับเฮเกิลและนักปรัชญาคนอื่น ๆ ในการแบ่งแยกโลกที่ปรากฏกับโลกที่แท้จริง เขาไม่เชื่อว่าโลกวัตถุนั้นจะซ่อนโลกที่แท้จริงทางจิตเอาไว้ ในทางกลับกัน มาร์กซยังเชื่อว่าอุดมการณ์ที่ถูกสร้างผ่านทางประวัติศาสตร์และกระบวนการสังคมนั้น เป็นสิ่งที่ปิดบังไม่ให้ผู้คนเห็นสถาพทางวัตถุที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา

ผลงานอีกชิ้นหนึ่ง ที่มีส่วนสำคัญในการปรับปรุงแนวคิดของเฮเกลของมาร์กซ คือ หนังสือที่เขียนโดย ฟรีดริช แองเจิลส์ (Friedrich Engelsชื่อว่า "The Condition of the Working Class in England in 1844" (สภาพของชนชั้นกรรมาชีพในอังกฤษในปี 1844)หนังสือเล่มนี้ทำให้มาร์กซมองวิภาษวิธีเชิงประวัติศาสตร์ออกมาในรูปของความขัดแย้งระหว่างชนชั้น และมองเป็นว่าชนชั้นกรรมาชีพสมัยใหม่จะเป็นแรงผลักดันที่ก้าวหน้าที่สุดสำหรับการปฏิวัติ

ปรัชญาของคาร์ลมาร์ก

แนวคิดหลักของมาร์กซวางอยู่บนความเข้าใจเกี่ยวกับ แรงงาน โดยพื้นฐานแล้ว มาร์กซกล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบข้าง เขาเรียกกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าการ ใช้แรงงาน และความพลังในการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า กำลังแรงงาน สำหรับมาร์กซแล้ว การใช้แรงงานนี้นอกจากจะเป็นความสามารถโดยธรรมชาติของกิจกรรมต่างๆ ทางกายภาพแล้ว แรงงานยังเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับความคิดและจินตนาการของมนุษย์ด้วย:

แมงมุมทำกิจกรรมที่ไม่ต่างไปจากช่างทอผ้า และการสร้างรังของฝูงผึ้งก็สามารถทำให้สถาปนิกต้องอับอายได้ แต่ความแตกต่างระหว่างสถาปนิกที่แย่ที่สุดกับผึ้งที่เยี่ยมยอดที่สุดก็คือ สถาปนิกนั้นวาดภาพโครงสร้างของเขาในจินตนาการ ก่อนที่จะสร้างมันขึ้นมาในโลกความเป็นจริง.

นอกเหนือจากการที่อ้างว่าความสามารถของมนุษย์คือการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแล้ว มาร์กซมิได้ใช้ข้ออ้างอื่นๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์อีกเลย.

มาร์กซสืบทอดแนวคิดแบบวิภาษวิธีของเฮเกิล ดังนั้นเขาจึงมักจะหลีกเลี่ยงความคิดที่ว่ามนุษย์มีธรรมชาติบางอย่างที่ไม่เปลี่ยนแปลง บางครั้งมาร์กซิสจะอธิบายแนวคิดนี้โดยการเปรียบเทียบระหว่าง "ธรรมชาติ" กับ "ประวัติศาสตร์" หลายครั้งพวกเขาจะกล่าวว่า "สภาพการมีอยู่นำหน้าสำนึก" นั่นคือใครคนหนึ่งจะเป็นอย่างใดนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งแห่งหนและเวลาที่เขาอยู่ -- สถาพทางสังคมมีอำนาจมากกว่าพฤติกรรมดั้งเดิม หรืออาจกล่าวได้ว่าลักษณะสำคัญของมนุษย์คือการปรับตัวให้เขากับสิ่งต่างๆ รอบตัว

มาร์กซไม่เชื่อว่าคนทุกคนจะทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกันว่าลักษณะที่ใครสักคนทำงานนั้นถูกกำหนดด้วยความคิดส่วนตัวไปทั้งสิ้น เขากลับอธิบายว่าการทำงานนั้นเป็นกิจกรรมทางสังคม และเงื่อนไขรวมถึงรูปแบบของการทำงานนั้นถูกกำหนดโดยสังคมและเปลี่ยนแปลงตามเวลา

การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของมาร์กซนั้นวางอยู่บนความแตกต่างระหว่าง ปัจจัยการผลิต ซึ่งหมายถึงสิ่งของเช่นที่ดินหรือทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปจนถึงเทคโนโลยี ที่จำเป็นต่อการผลิตสินค้าที่เป็นวัตถุ และ ความสัมพันธ์เชิงสังคมของการผลิต ที่กล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์เชิงสังคมที่ผู้คนถูกดึงเข้าไปร่วม เมื่อเขาได้เป็นเจ้าของและได้ใช้ปัจจัยการผลิต ปัจจัยสองประการนี้รวมเป็น รูปแบบการผลิต มาร์กซสังเกตว่าในสังคมหนึ่งๆ รูปแบบการผลิตนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย สำหรับสังคมทางยุโรปนั้นมีรูปแบบในการพัฒนาโดยเริ่มจากรูปแบบการผลิตแบบศักดินา ไปจนถึงรูปแบบการผลิตแบบทุนนิยม โดยทั่วไปแล้ว มาร์กซเชื่อว่าปัจจัยการผลิตนั้นเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมากกว่าความสัมพันธ์ของการผลิต ยกตัวอย่างเช่นเราได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่นอินเทอร์เน็ตแต่ต้องใช้เวลาหลังจากนั้น ก่อนที่เราจะได้พัฒนากฎหมายที่ควบคุมเทคโนโลยีนั้น สำหรับมาร์กซแล้วการไม่เข้ากันของ ฐาน ทางเศรษฐกิจกับ โครงสร้างส่วนบน (superstructure) ทางสังคม คือสิ่งที่ทำให้เกิดความระส่ำระสายและความขัดแย้งในสังคม

ในการพิจารณาความสัมพันธ์เชิงสังคมของการผลิตนั้น มาร์กซไม่ได้มองแค่ความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกแต่ละคน แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน หรือ กลุ่มชนชั้น มาร์กซมิได้นิยาม "ชนชั้น" ขึ้นมาโดยอาศัยใช้เพียงแค่การบรรยายแบบอัตวิสัย (subjective) เท่านั้น หากแต่ว่าเขายังพยายามจะนิยามชนชั้นด้วยเงื่อนไขที่เป็นแบบวัตถุวิสัย (objective) ด้วย เช่นการเข้าถึงทรัพยากรในการผลิต

มาร์กซให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับกำลังแรงงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สุดของมนุษย์เอง ในการอธิบายความสัมพันธ์นี้โดยละเอียด มาร์กซทำโดยผ่านทางปัญหาความแปลกแยก ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงาน กล่าวคือ เมื่อกำลังแรงงานได้ถูกใช้ไปในการผลิต แต่เมื่อกิจกรรมนั้นสิ้นสุดลงกรรมสิทธิ์ของผลลัพธ์ที่ได้กลับตกไปเป็นของนายทุน นั่นคือมองได้ว่าเป็นการละทิ้งกรรมสิทธิ์ในกำลังแรงงานของตนเอง สภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดความแปลกแยกจากธรรมชาติของตนเอง และก่อให้เกิดความรู้สึกสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดสภาพการคลั่งไคล้โภคภัณฑ์ (commodity fetishismซึ่งผู้คนจะคิดว่าสิ่งสำคัญที่พวกเขาสร้างขึ้นก็คือสินค้า ความสำคัญทุกอย่างจะถูกถ่ายโอนไปที่วัตถุรอบกายแทนที่จะเป็นผู้คนด้วยกันเอง หลังจากนั้นผู้คนจะมองเห็นและเข้าใจตนเองผ่านทางความสัมพันธ์กับทรัพย์สินหรือสินค้าที่ตนเองครอบครองไว้เท่านั้น

การคลั่งไคล้โภคภัณฑ์นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่เองเจิลส์เรียกว่า สำนึกที่ผิดพลาด ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเข้าใจในเรื่องของอุดมการณ์ ซึ่งมาร์กซและเองเจิลส์ได้ให้ความหมายว่าเป็นความคิดที่สะท้อนผลประโยชน์ของบางชนชั้นในบางช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ แต่กลับถูกแสดงว่าเป็นความเชื่อที่ถูกต้องสำหรับทุกๆ ชนชั้นและทุกๆ เวลา ในความคิดของพวกเขานั้น ความเชื่อดังกล่าวมิได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่สำคัญทางการเมืองด้วย กล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า การควบคุมที่ชนชั้นหนึ่งๆ กระทำผ่านทางการครอบครองเครื่องมือการผลิตนั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับกับการผลิตอาหารหรือสินค้าเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับการผลิตความคิดหรือความเชื่อด้วยเช่นกัน ความคิดนี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายว่าทำไมสมาชิกของชนชั้นที่ถูกกดขี่จึงยังมีความเชื่อที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้นแม้ว่าความเชื่อบางอย่างจะผิดพลาดแต่มันก็ยังเผยให้เห็นความจริงบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น ความเชื่อที่ว่าสิ่งของที่คนผลิตขึ้นนั้นมีผลิตผลมากกว่าคนที่ผลิตมันขึ้นมานั้นอาจฟังประหลาด แต่มันก็แสดงให้เห็น (ในความคิดของมาร์กซและเองเจิลส์) ว่าผู้คนภายใต้ระบบทุนนิยมนั้นถูกทำให้แปลกแยกจากกำลังแรงงานของตนเอง อีกตัวอย่างหนึ่งพบได้ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาโดยมาร์กซ ที่สรุปได้ในย่อหน้าหนึ่งของContribution to the Critique of Hegel's "Philosophy of Right:"

ความทุกข์ทางศาสนานั้นเป็นทั้งการแสดงออกของความทุกข์ที่แท้จริงและการประท้วงไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ที่แท้จริง ศาสนาคือเสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตที่ถูกกดขี่ หัวใจของโลกที่ไร้หัวใจ และวิญญาณของสภาพไร้วิญญาณ มันคือฝิ่นของมวลชน


แม้ว่าในงานวิทยานิพนธ์ระดับเตรียมอุดมศึกษาเขาเคยอ้างว่าหน้าที่หลักของศาสนาคือการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในที่นี้มาร์กซมองว่าศาสนานั้นเป็นเครื่องมือทางสังคมสำหรับการแสดงออกและจัดการกับความเหลื่อมล้ำนั่นเอง
ลัทธิมากร์


มาร์กซ์และเองเกิลส์พยายามหาแนวทางที่จะนำจุดจบมาสู่ระบบทุนนิยมและการกดขี่ผู้ใช้แรงงานเหมือนกับนักสังคมนิยมคนอื่นๆ แต่ในขณะที่นักสังคมนิยมคนอื่นหวังถึงการค่อยๆ ปฏิรูปสังคมในระยะยาว ทั้งมาร์กซ์และเองเกิลส์คิดว่ามีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะนำไปสู่ระบอบสังคมนิยมได้ นั่นคือการปฏิวัติ

ตามที่ข้อสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ของมาร์กซ์กล่าวไว้ว่า ลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสังคมชนชั้นคือความไม่สนใจซึ่งกันและกัน และยังกล่าวอีกว่าความคิดแบบคอมมิวนิสต์คือสิ่งที่มนุษย์ปรารถนา เพราะมันนำมาซึ่งความหยั่งรู้และการพบกับอิสรภาพแห่งมนุษย์อย่างแท้จริง มาร์กซ์ในที่นี้กล่าวตามนักปรัชญาชาวเยอรมัน ยอร์ช วิลเฮล์ม ฟรีดดิช ฮีเกล (G.W.F. Hegel) ที่กล่าวว่าอิสรภาพมิใช่เพียงแค่การมิให้อำนาจเข้ามาควบคุมเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการกระทำที่มีสำนึกศีลธรรมอีกด้วย ไม่เพียงแค่ระบอบคอมมิวนิสต์จะทำให้คนทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการเท่านั้น แต่การทำให้มนุษย์ที่มีสถานภาพเดียวกันและความเหมือนกันนั้น จะทำให้พวกเขาไม่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์สู่ตนเองอีกต่อไป ในขณะที่เฮเกลคิดถึงการใช้ชีวิตตามหลักจรรยา ผ่านมโนภาพที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับมาร์กซ์แล้ว คอมมิวนิสต์นั้นเกิดขึ้นได้จากวัตถุและผลิตผล โดยเฉพาะการพัฒนารายได้ที่ประชาชนจะได้รับจากการผลิต
ลัทธิมาร์กซ์นั้นยึดถือว่า กระบวนการแตกแยกระหว่างชนชั้นที่ต่างกัน ผสมกับการดิ้นรนต่อสู่ที่จะปฏิวิติ จะนำชัยชนะมาสู่ชนชั้นแรงงาน และนำมาซึ่งการก่อตั้งสังคมคอมมิวนิสต์ที่ที่สิทธิ์ในการการครอบครองทรัพย์สมบัติส่วนบุคคลจะค่อย ๆ ถูกลบล้างไป และรายได้ของประชาชนจากการผลิต และความเป็นอยู่ที่ยึดติดอยู่กับชุมชนจะค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ ตัวมาร์กซ์เองนั้นชี้แจงไว้เพียงเล็กน้อย เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่เมื่ออยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ แต่กล่าวถึงข้อมูลเฉพาะส่วนหลัก ๆ ที่เป็นแนวทางไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์เท่านั้น ซึ่งส่วนมากจะเกี่ยวกับการลดขอบเขตของสิ่งที่บุคคลพึงกระทำ เห็นได้จากสโลแกนของกลุ่มเคลื่อนไหวลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีความว่า สังคมคอมมิวนิสต์คือโลกที่ทุก ๆ คนทำในสิ่งที่พวกเขาถนัด และได้รับตามที่พวกเขาต้องการ ตัวอย่างที่อธิบายแนวคิดของมาร์กซ์มาจากผลงานเขียนเพียงไม่กี่ชิ้นของเขาที่มีข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของลัทธิคอมมิวนิสต์โดยละเอียด คือ แนวคิดลัทธิของเยอรมัน (The German Ideology) ในปี พ.ศ. 2388 (ค.ศ. 1845) งานชิ้นนั้นมีใจความว่า:

"ในสังคมคอมมิวนิสต์ที่ไม่มีใครถูกจำกัดภาระหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในทุกๆ สาขาที่เขาต้องการ เมื่อสังคมกำหนดเป้าหมายการผลิตทำให้มันเป็นไปได้ที่จะทำสิ่งหนึ่งวันนี้ และทำให้อีกสิ่งในวันพรุ่ง ล่าสัตว์ในตอนเช้า, ตกปลาในตอนกลางวัน, ต้อนวัวในตอนเย็น และวิจารณ์หลังอาหารค่ำ ดังที่ตัวเองปรารถนา โดยไม่ต้องมีอาชีพเป็นนักล่าสัตว์ ชาวประมง คนเลี้ยงสัตว์และนักวิจารณ์" 
วิสัยทัศน์ที่มั่นคงของมาร์กซ์ ทำให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับความเป็นไปของสังคมที่เป็นระบบ ภายใต้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง และเป็นทฤษฎีทางการเมืองที่อธิบายถึงความจำเป็นที่จะต้องกระทำการปฏิวัติเพื่อที่จะได้สิ่งใดๆ มาที่มีข้อกังขาเล็กน้อย

ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 นิยามของคำว่า ระบอบสังคมนิยม และ ระบอบคอมมิวนิสต์ มักถูกใช้แทนกัน อย่างไรก็ตาม มาร์กซ์และเองเกิลส์เห็นว่า สังคมนิยมคือระดับปานกลางของสังคมที่ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่จากการผลิตมีมวลชนเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยที่ยังคงความแตกต่างระหว่างชนชั้นไว้เล็กน้อย โดยที่พวกเขาสงวนนิยามของระบอบคอมมิวนิสต์ไว้ว่า เป็นขั้นสุดท้ายของสังคมที่ไม่มีความแตกต่างระหว่างชนชั้น ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี และรัฐบาลเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

หลักเกณฑ์เหล่านี้ต่อมาจึงถูกพัฒนา โดยเฉพาะจาก วลาดิมีร์ เลนิน ซึ่งมีอิทธิพลในการกำหนดลักษณะของพรรคคอมมิวนิสต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ให้โดดเด่น นักเขียนรุ่นต่อมาเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์ของมาร์กซ์โดยมอบอำนาจให้กับรัฐให้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาสังคมดังกล่าว โดยแย้งว่าการที่จะให้เป็นคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์ได้นั้น ต้องเริ่มมาจากการเป็นสังคมนิยมเสียก่อน จึงค่อย ๆ แปลงสังคมภายใต้ระบอบสังคมนิยม ให้กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์

คนรุ่นเดียวกับมาร์กซ์บางคน เช่น อนาธิปัตย์อย่าง มิคาเอล บาคูนิน ก็สนับสนุนแนวคิดคล้าย ๆ กัน แต่ต่างกันในทัศนคติของพวกเขาในเรื่องของวิธีที่จะนำไปสู่สังคมสามัคคีที่ไร้ชนชั้นได้ จนมาถึงทุกวันนี้ยังคงมีการแบ่งกลุ่มเคลื่อนไหวของคนงานอยู่ระหว่างกลุ่มลัทธิคอมมิวนิสต์ของมาร์กซ์และกลุ่มอนาธิปัตย์ โดยที่พวกอนาธิปัตย์มีความคิดเป็นปฏิปักษ์และต้องการที่จะล้มล้างทุกอย่างที่เป็นของรัฐบาล แต่ในหมู่พวกเขาก็มีนักอนาธิปัตย์-คอมมิวนิสต์อย่าง ปีเตอร์ โครพอตคิน ที่เชื่อในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ไร้ชนชั้นในทันที ในขณะที่นักอนาธิปัตย์-สหการนิยมเชื่อในสหภาพแรงงานที่เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำในสังคม ตรงกันข้ามกับพรรคคอมมิวนิสต์ (ที่เชื่อในสังคมไร้ชนชั้น นั่นคือไม่มีผู้นำ)
ลัทธิเต๋า (เล่าจื้อ)
เล่าจื๊อ
นักปรัชญาในลัทธิเต๋า
นักปราชญ์ที่สำคัญในปรัชญาเต๋าคือ เล่าจื๊อ (เหลาจื้อ) (Lao Zi หรือ Lao Tzu) ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นศาสดา และจวงจื๊อ (Zhuang Zi) ศิษย์คนสำคัญของเล่าจื๊อ เป็นผู้สืบทอดและขยายความหมายของเต๋าจนกลายเป็นปรัชญาเต๋าที่สมบูรณ์ โดยมี “เต๋าเต๋อจิง” (Tao Te Ching) เป็นคัมภีร์ที่สำคัญของปรัชญาเต๋า
ประวัติความเป็นมาและต้นกำเนิดของลัทธิเต๋า ผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋ามีชื่อเดิมว่า หลีโอว แต่รู้จักกันทั่วไปว่าเล่าจื้อ เล่าจื้อเป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงมากผู้หนึ่ง ความคิดเห็นส่วนใหญ่ของเล่าจื้อปรากฎอยู่ในหนังสือ เต๋าเตอเชง ปรัชญาในหนังสือนี้มีอิทธิพลแก่ความคิดและศิลปวิทยาของจีนเป็นอย่างยิ่ง หนังสือเต๋าเตอเชงนี้ส่วนใหญ่บรรจุข้อเขียนเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในชีวิต อาทิเช่น ผู้ที่รอบรู้มักจะไม่พูดมาก และผู้ที่พูดมากมักจะไม่รู้ เป็นต้น 
หยิน - หยางแนวคิดและหลักคำสอน ปรัชญาเต๋า ความเชื่อถือบูชาธรรมชาติ
ปรัชญาเต๋า (Taoism) เกิดขึ้นจากความเชื่อถือบูชาพระเจ้าประจำธรรมชาติ ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของจีน คำว่า “เต๋า” ในความหมายทางปรัชญาและศาสนาหมายถึง “สิ่งสมบูรณ์สูงสุด” เต๋าเป็นต้นกำเกิดของสิ่งทั้งปวง และครอบคลุมทุกอย่างเอาไว้ ทั้ง จักรวาล โลก สังคมและชีวิต เต๋าเป็นกฎธรรมชาติ สรรพสิ่งจึงดำเนินไปตามวิถีของเต๋า

คุณสมบัติของเต๋า
เต๋าเป็นสิ่งที่เรียกขานด้วยชื่อไม่ได้ เป็นสิ่งนามธรรม ไม่มีรูปร่างลักษณะ อยู่เหนืออำนาจของกาลเวลา
เต๋าเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวง สรรพสิ่งในโลกล้วนเกิดจาก “ภาวะ” และภาวะคือ ฟ้า ดินและ “อภาวะ” ซึ่งก็คือเต๋า เต๋ามีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง เต๋าเป็นต้นตอให้สรรพสิ่งเกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งต่างๆย่อมมีเต๋าอยู่เสมอการรู้จักกฎธรรมชาติของชีวิต การปฏิบัติตามกฎธรรมชาติของชีวิตจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายใน ทั้งหมดคืออุดมคติแห่งเต๋า
อิทธิพลของลัทธิเต๋าที่มีต่อสังคมจีน ลัทธิเต๋าของเล่าจื้อ ได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ผู้ถูกกดขี่ แต่คนชนชั้นที่มีการศึกษาดี ไม่มีใครนิยมชมชอบนัก ผลก็คือลัทธิเต๋าจึงค่อยๆ เสื่อมไป ต่อมาคนส่วนมากยังศรัทธาในลัทธิแบบเชื่อในโชคลางและไสยศาสตร์อีกด้วย ทำให้พวกนับถือลัทธิของขงจื้อพากันเหยียดหยาม ก็เพราะลัทธิเหยียดหยามลัทธิเต๋านี่เอง คนเลยไม่สนใจวิทยาศาสตร์ ดังนั้นประเทศจีนจึงเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์น้อยเกินไป เพราะไปหลงตำหนิลัทธิเต๋า ลัทธิเต๋านั้นค้นพบเรื่องทางวิทยาศาสตร์มาก่อนชนชาติใด เช่น การประดิษฐ์ดินปืน นอกจากนี้ความปรารถนาของผู้นิยมลัทธิเต๋าในอันที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับชีวิต และหนีปัญหาต่างๆ ด้วยการไปชีวิตใกล้ธรรมชาติ ทำให้ค้นพบการบำบัดรักษาโลกด้วยสมุนไพร ซึ่งทำให้เกิดวิวัฒนาการด้านความรู้ทางแพทย์อีกด้วย
ลัทธิขงจื๊อ

ลัทธิขงจื๊อ (Confucianism) เป็นศาสนาหรือลัทธิ ที่มีขงจื๊อ (551 – 479 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นผู้วางรากฐานให้กับลัทธิขงจื๊อที่มุ่งแก้ไขปัญหาการเมืองและสังคมของจีนในสมัยจลาจล โดยเน้นให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความสงบสุขเรียบร้อย ทั้งนี้จะถือหลักการเรื่องมนุษยธรรมและจารีตประเพณี ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักแห่งสัมพันธภาพ 5 ประการ ได้แก่ เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม (สอดคล้องกับหลักศีล 5 ของพุทธศาสนา)มีบุคคลบางคนกล่าวว่า ศาสนาขงจื๊อเป็นระบบศีลธรรมหรือหน้าที่พลเมืองดีมากกว่าศาสนา เพราะขงจื๊อมิได้ส่งเสริมให้มีความเชื่อถือในพระเจ้าที่เป็นตัวตน หรือการสวดอ้อนวอน ตลอดจนการบูชาพระผู้เป็นใหญ่ แม้ขงจื๊อจะสอนหนักไปทางจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดี แต่หนังสือบางเล่มที่ขงจื้อแต่งไว้ก็ได้กล่าวถึงเทพเจ้า และอำนาจของเทพเจ้าที่มีอยู่เหนือโลก เช่นคัมภีร์อี้จิง หรือคัมภีร์ว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงได้กล่าวถึง ซ่างตี้ หรือเซี่ยงตี่ ซึ่งเป็นผู้สร้างโลก เป็นที่น่าสังเกตว่า ขงจื๊อ เขียนคัมภีร์อี้จิง อันว่าด้วยจักรวาลและการสร้างโลกนั้น เป็นเพียงการรวบรวมความเชื่อของเก่าที่มีมาดั้งเดิมเกี่ยวกับการสร้างโลก ตามความเห็นและความเชื่อถือของคนโบราณ
ขงจื๊อสั่งสอนลูกศิษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ลูกศิษย์ของขงจื๊อจึงมีทุกชนชั้น ทำให้เกิดชนชั้นปัญญาชนขึ้นในสังคมจีน ปัญญาชนเหล่านี้มีเป้าหมายอยู่ที่การเข้ารับราชการ โดยหวังว่าปัญญาความรู้ความสามารถที่ได้รับการอบรมมาจะเป็นประโยชน์ต่อการปกครองบ้านเมือง และยังเป็นการสร้างชื่อเสียงและฐานะให้กับตนเอง ครอบครัว วงศ์ตระกูลอีกด้วย ลัทธิขงจื๊อ เรียกกันในอีกชื่อหนึ่งว่า แนวคิดหยู ซึ่งหมายถึงแนวคิดของปัญญาชน ผู้ที่ศึกษาแนวคิดของขงจื๊อและนักคิดคนอื่นๆ ในกลุ่มนี้เรียกกันในสมัยโบราณว่า ปัญญาชนหยู หรือชาวหยู ปัจจุบันลัทธิขงจื๊อแม้จะหมดบทบาทในด้านการเมือง แต่ในด้านวัฒนธรรม ลัทธิขงจื๊อยังฝังลึกอยู่ในสังคมจีนนานนับเป็นศตวรรษจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวจีน

ขอบเขตการศึกษาวิชารัฐศาสตร์

รัฐศาสตร์ (political Science) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐ (the Science Of  State)  ที่กล่าวถึงทฤษฎีการจัดตั้งองค์การรัฐบาล และการดำเนินงานของรัฐ (Practice of the State) รวมถึงพฤติกรรมทางการเมือง (Political Behavior) หรือการแสวงหาอำนาจทางการเมือง (Power Seeking) ของกลุ่มองค์กร และสถาบัน อันมีลักษณะแตกต่างไปจากรัฐ (state) ซึ่งมุ่งที่จะแสวงหาอิทธิพลต่อนโยบายของรัฐ (Public Policy) และทิศทางของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (The direction of social change) (อานนท์  อาภาภิรมณ์.๒๕๒๘ :๑-๒) )
                สำหรับขอบเขตของวิชารัฐศาสตร์นั้น สาขารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ มีความเห็นว่า รัฐศาสตร์คือการศึกษาวิชาเกี่ยวกับรัฐ และวิธิการอันเหมาะสมที่สุดในอันที่จะปฏิบัติตามวิชาการเกี่ยวกับรัฐ ฉะนั้น ขอบเขตของวิชารัฐศาสตร์จึงรวมเป็นส่วนประกอบทุกส่วนในความสัมพัฯธ์ภายใน และภายนอกของรัฐ ซึ่งอาจแยกได้เป็น ๑๐ กลุ่มด้วยกัน คือ
๑. ทฤษฎีการเมือง และประวัติความคิดทางการเมือง (Political Theories and
History of Political Thought)
๒. สถาบันทางการเมือง (Political Institutions)   โดยศึกษาเรื่อง  การวิจัยและ
นิยามองค์ประกอบ อำนาจสถาบันทางการเมือง โครงสร้างรัฐ นโยบายรัฐการปกครองเปรียบเทียบ และการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น
๓. กฎหมายสาธารณะ (Public Laws)  โดยสนใจศึกษาเรื่อง กฎหมายสูงสุดของ
รัฐ การบังคับใช้กฎหมาย ระบบศาลสถิตยุติธรรม และจารีตประเพณีกับกฎหมาย นอกจากนั้นยังรวมถึงการกำหนดนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อการรักษาเอกราช อธิปไตย บูรณภาพ และความปลอดภัยของประเทศชาติด้วย
สำหรับการกำหนดนโยบายของประเทศไทย คำนึงถึงเรื่องต่าง ๆ คือ การเทิดทูนราชบัลลังก์ไว้ให้ถาวร การพัฒนาประเทศ การปราบปรามผู้ก่อการร้าย และพวกค้ายาเสพติด  การทำนุบำรุงประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุข การรักษาเอกภาพของประเทศชาติ และการป้องกันประเทศ (นครินทร์  เมฆไตรรัตน์.๒๕๔๒ :๒๙๐)
๔. พรรคการเมือง กลุ่มอิทธิพล และประชามติ (Political Parties ,Pressure
Groups and Public Opinion)  ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแสวงหาอำนาจรัฐและการต่อรองทางสังคม เพื่อสิทธิเสรีภาพ และความยุติธรรม
๕.รัฐประศาสนศาสตร์ ( Public Administration) โดยเน้นศึกษาเรื่อง การจัด
กำลังคน การเงิน วัสดุ ให้เป็นไปตามอุดมคติและจุดประสงค์ของรัฐอย่างมีสมรรถภาพและได้ผลมากที่สุด
๖. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations)  ศึกษาเรื่องนโยบาย
หลักการ วิธีการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ แขนงวิชาที่รวมอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ นโยบายต่างประเทศ การเมือง การบริหารประเทศ องค์การระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศและการดำเนินงานทางการทูต  ตัวอย่างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น เช่น ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไทยต้องต่อสู้ป้องกันกับข้าศึกที่มารุกราน เช่น พม่า เขมร จน   ในช่วงประมาณ รัชกาลที่ ๒-๕ข้าศึกของไทยมาจากนอกประเทศ ครั้นในยุค พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้าศึกสำคัญได้แก่ คอมมูนิสต์จากเวียดนามเหนือและจีน  ในขณะที่ในปัจจุบัน ได้แก่การกระทบกระทั่งระหว่างชายแดนปัญหายาเสพติด และปัญหาอื่นทางเศรษฐกิจและสังคม ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ประเทศไทยมีการดำเนินสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมหาอำนาจ  การเข้าเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ  เช่น สหประชาชาติ และอาเซียน เป็นต้น  การให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ตลอดถึง การประกาศเกียรติคุณของประเทศไทยและการรักษาเกียรติภูมิของชาติไว้ให้มั่นคง 
๗. วิชาที่ว่าด้วยลักษณะการปกครองเปรียบเทียบ  (Comparative government)
๘. กฎหมายแผนกมหาชนและธรรมศาสตร์ (Public law and jurisprudence)
๙. การศึกษาเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ (functional studies) เช่น วิธีการฝ่ายนิติ
บัญญัติ วิธีดำเนินงานทางศาล ข้อบังคับเกี่ยวกับสาธารณุปโภค การอุตสาหกรรม และการสังคม (เกษม  อุทยายิน.๒๕๑๖ :๑๓)
๑๐.การศึกษาภูมิรัฐศาสตร์  เป็นการศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์กายภาพที่สัมพันธ์
กับรัฐศาสตร์ เช่น ที่ตั้ง พรมแดน รูปร่าง เป็นต้น  ตัวอย่างเช่น ภูมิรัฐศาสตร์ของไทย ตั้งอยู่ในย่านเอเชียอาคเนย์ในคาบสมุทรอินโดจีน  เดิมทีดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน มีชื่อเรียกว่า แหลมสุวรรณภูมิหรือแหลมทอง ลักษณะของประเทศไทยคล้ายกระบวยหรือขวาน  แหล่งกำเนิดของประเทศได้แก่ ดินแดนตอนกลางของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา  ประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณสองแสนตารางไมล์ พลเมืองประมาณ ๖๒ ล้านคน (๒๕๔๔)  ประเทศไทยมีนโยบายป้องกันประเทศมากกว่าการรุกรานทั้งในอดีตและปัจจุบัน คุณภาพของประชากรปรากฎว่าคนไม่รู้หนังสือมีประมาณ …เปอร์เซ็นต์ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รายได้ของประชาชนยังต่ำอยู่มาก   คุณลักษณะเด่นของชาวไทยได้แก่ การมีเอกภาพในเรื่องเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ชาวไทยมีเชื้อชาติเป็นไทย พูดภาษาไทย และนับถือพระพุทธศาสนาถึง ๙๓ เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมด  สำหรับประเทศไทยมีทรัพยากรแผ่นดินได้แก่ พื้นดิน แร่ธาตุ ทุ่งหญ้า ป่าไม้  ส่วนสินแร่สำคัญมี ดีบุก วุลเฟรม ถ่านหิน และฟลูโอไรต์  ประเทศไทยอาศัยผลิตผลทางเกษตรเป็นรายได้หลักของประเทศ  ในด้านอุตสาหกรรมได้แก่ อุตสาหกรรมประเภทใช้เครื่องจักร (Manufacturing Industries)  และเป็นอุตสาหกรรมประเภทมาตรฐาน เช่น การผลิตเหล็กสร้างเครื่องยนต์ การต่อเรือ การทอผ้า เคมีภัณฑ์ สร้างอาวุธ  เป็นต้น จุดอ่อนเกี่ยวกับที่ตั้งของประเทศไทย ได้แก่แดนภาคใต้ซึ่งเป็นคาบสมุทรยื่นลงไปในทะเลระหว่างทะเลจีนใต้กับทะเลอันดามัน  ชายฝั่ง ทะเลทางภาคตะวันตกและภาคตะวันออกของไทยอาจถูกข้าศึกรุกรานได้ เช่น ในสมัยกรุงศรีอยุธยาถูกฮอลันดาใช้กองทัพเรือปิดอ่าวไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ถูกฝรั่งเศสใช้เรือรบระดมยิงปากอ่าวไทยใน ร.ศ. ๑๑๒๑ และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ถูกฝรั่งเศสใช้เรือรบเข้ามาระดมยิงเรือรบไทยบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย  แม้ในปัจจุบันก็ยังมีปัญหากระทบกระทั่งกันระหว่างชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพม่าปัญหายาเสพติด และปัญหาชนกลุ่มน้อยในพม่า (นครินทร์  เมฆไตรรัตน์.๒๕๔๒ : ๒๗๗-๒๘๙)

นิยามของคำว่า “รัฐศาสตร์”

รัฐศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ (Social Science) เป็นวิชาที่มุ่งศึกษาถึงการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคม โดยศึกษาทฤษฎี กฎเกณฑ์ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม เช่น พฤติกรรมทางการเมือง รูปแบบการปกครอง การมีส่วนร่วมในการปกครองของประชาชน เป็นต้น  รัฐศาสตร์ คือวิชาที่ว่าความรู้เรื่องรัฐ หรือประเทศ อันรวมไปถึงการศึกษาเรื่องรูปแบบประเทศ รูปแบบการปกครอง รูปแบบรัฐบาล การใช้อำนาจของรัฐบาล ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจอธิปไตย การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมือง อำนาจตุลาการ รัฐสภา การบริหารงานภาครัฐ กฎหมายเบื้องต้นที่ประชาชนควรรูทั้งที่เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติต่าง ๆ การเลือกตั้ง การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ โดยภาพรวมก็คือ การศึกษาว่า ประเทศนั้น ๆ ดำเนินกิจการบริหารประเทศได้อย่างไร โดยใคร มีองค์ประกอบใดบ้างที่ทำให้ประเทศนั้นดำรงฐานะอยู่ได้ว่า เป็นประเทศหนึ่งที่มีอธิปไตยเป็นของตนเอง
                Rodee, Aderson และ Chriatal  อธิบายว่า วิชารัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มุ่งศึกษาการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันมากกว่าความสนใจที่จะศึกษาเรื่องราวในอดีต ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า วิชานี้มีลักษณะสำคัญที่แสดงถึงความเคลื่อนไหว (Dynamic) อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และ ๒ ได้มีการเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวในสาขาต่าง ๆ ของวิชารัฐศาสตร์เพิ่มมากขึ้น (อานนท์ อาภาภิรมณ์.๒๕๒๘)
                Aristotle  "รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ภาคปฏิบัติ "(Politics  is  Practical Science)
รัฐศาสตร์  ในบางครั้งใช้ในภาษาไทยว่า "การเมือง" หรือ "การปกครอง" ในภาษาอังกฤษอาจใช้คำต่อไปนี้คือ ๑) Politics  ๒)Political Science  ๓) Government  ซึ่งถ้าแปลตรงตัวก็คือ "การเมือง" ,"รัฐศาสตร์" และ "การปกครอง" (ดร.จิรโชค  วีระสัย และคณะ. ๒๕๓๕)
                รัฐศาสตร์ (Political Science) มาจากภาษาเยอรมันคือ Staatswissenchatt ซึ่งแปลว่า "ศาสตร์แห่งรัฐ" (ค.ศ. ๑๘-๑๙)  หรือ ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา Staat แปลว่า รัฐ Swissenchatt หมายถึง "วิทยาการ" (ดร.จิรโชค  วีระสัย และคณะ. ๒๕๓๕)
                รัฐศาสตร์ (Government) มาจากภาษากรีก " Kybernates" แปลว่า "ผู้ถือหางเสือเรือ" เปรียบเทียบว่า รัฐ และ เรือ และมีวลี "รัฐนาวา" (Ship of State) (จิรโชค  วีระสัย และคณะ.๒๕๓๕)
                Politics  means the art and practice of running a country or governing (P.H. Collin.๑๙๙๐ :๑๕๔)
                Aristotle and his concept of Political Thought   รัฐศาสตร์ คือ วิชาที่ว่าด้วยองค์กรของรัฐ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมสิ่งที่ดีให้กับประชาชน ให้ความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน สิทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ และปัจเจกชน (Suresh Chandra Pant.๑๙๙๕)

ลักษณะทั่วไปของวิชารัฐศาสตร์

     การศึกษาที่ถือว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตและอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด คือ การศึกษาเรื่ององค์กรทางการเมือง รูปแบบการปกครองและรูปแบบรัฐบาล เพราะไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางการเมือง วิธีการปกครอง และรัฐบาล ย่อมมีหน้าที่ในการให้การบริการ และพิทักษ์สิทธิประโยชน์ของประชาชนเป็นองค์รวม เพราะฉะนั้นถ้าประชาชนได้เรียนเรื่องดังกล่าวจนเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว แน่นอนว่าต้องสามารถระบุหรือชี้ลงไปได้ว่า รัฐบาลของตนมีวิธีการปกครอง การบริการกิจการบ้านเมืองนั้นเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ด้วยเหตุนี้การศึกษาวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้น (Introduction to Political Science ) จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างวิสัยทัศน์ ความเข้าใจต่อระบบการเมืองการปกครอง ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน
การศึกษารัฐศาสตร์ที่ดีนั้นต้องมีการวิเคราะห์ถึงทฤษฎีต่าง ๆ ที่นำเสนอโดยนักปรัชญา (Philosophers) นักปฏิวัติสังคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะแนวคิดต่าง ๆ ในอดีตมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป และปฏิวัติรูปแบบการเมืองการปกครอง เช่น Plato ,Aristotle, และ John Locke เป็นต้น  การเรียนแนวคิดจากนักปรัชญาดังกล่าว นักรัฐศาสตร์ยังนำมาเป็นแนวทางในการศึกษา (Approaches) โดยแบ่งเป็นลัทธิการเมือง ทฤษฎีการแสวงหาอำนาจ รูปแบบการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งนี้วัตถุประสงค์สูงสุดของการศึกษาก็เพื่อการเปรียบเทียบรูปแบบ ทฤษฎีต่าง ๆ และนำมาใช้ให้เหมาะสมกับชีวิต และการดำเนินนโยบายทางการเมืองการปกครองต่อไป
นอกจากนั้น การศึกษารัฐศาสตร์ยังเกี่ยวข้องกับการปกครองของไทยโดยตรง ระบอบการปกครองประเทศของไทยก็คือ ประชาธิปไตย ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่าเผด็จการที่เคยมีมาในอดีต ประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่มีรัฐสภา เป็นระบอบที่ข้าราชการจะต้องมีระเบียบวินัย เพราะข้าราชการการเมือง หรือคณะรัฐมนตรีมีบทบาทในการสั่งการและติดตามนโยบายการบริหารงานสาธารณะ  การปกครองที่มีรัฐสภานั้น ถ้าหากผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแล้ว ประโยชนสุขย่อมมีแก่มหาชนแน่นอน แต่ถ้าผู้แทนราษฎรหรือผู้ทำหน้าที่แทนประชาชนในหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ไม่มีศักยภาพหรือเอาเปรียบรีดนาทาเร้นประชาชน ก็ย่อมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแน่นอน ตามระบอบหรือครรลองแห่งประชาธิปไตยแน่นอน ซึ่งอาจถึงขั้นทำรัฐประหารโดยทหารหรือพลเรือนก็ได้  โดยที่ประชาชนไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น ในระบอบการปกครองของไทยนั้น พรรคใดได้เสียงข้างมาก พรรคนั้นก็เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกัน พรรคที่อ้างว่า มีคะแนนเสียงข้างมากในสภามากที่สุด คือ พรรคชาติไทยเมื่อในอดีตก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่เป็นฝ่ายค้าน  ดังนั้น รัฐศาสตร์ของไทยจึงไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนการเมืองต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันตก เพราะคนไทยมีจิตใจ มีความรู้สึก มีความต้องการขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ซึ่ง การเมืองการปกครองย่อมพลิกผัน ปรับตัวตามสถานการณ์  ลักษณะรัฐศาสตร์ไทยในแง่ การปกครองนั้น มี ส.ส.และพรรคการเมืองเป็นใหญ่ แต่ในสถานการณ์จริง ๆ นั้น ในพรรคการเมืองที่ไร้คุณภาพนั้น ขาดระเบียบวินัย ดำรงความเป็นพรรคอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจเงินตรา   แม้กระทั่งรัฐบาลเองบางครั้งก็ถูกมองว่าไร้วินัย เช่นการออกกฎหมายโดยไม่ผ่านสภานิติบัญญัติ แต่ออกกฎหมายบังคับใช้โดยออกประกาศของคณะปฏิบัติ เป็นต้น  ซึ่งจริง ๆ แล้ว ทิศทางรัฐศาสตร์ไทย มีองค์กรต่าง ๆ มีสภาสูง สภาต่ำ  ซึ่งเมื่อรวมเป็นรัฐบาลแล้ว ก็เหมือนเป็นการปกครองโดยบุคคลคณะหนึ่ง ไม่ใช่มาจากประชาชนตามลักษณะการเลือกตั้ง ทั้งนี้ เพราะบางครั้ง รัฐบาลใช้อำนาจหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกและเจตนาของประชาชนที่ได้มอบอำนาจอธิปไตยให้ไป ผลที่ตามมาอันเนื่องจากความไม่พอใจรัฐบาลก็คือ  มีม็อบ การนัดหยุดงาน และการเดินขบวนต่าง ๆ  ซึ่งรัฐบาลเองก็ห้ามไม่ได้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของครรลองประชาธิปไตย  รัฐบาลจึงควรตระหนักว่าการกระทำทุกอย่างควรมีจุดมุ่งหมายที่การก่อให้เกิดประโยชน์ต่อราษฎร อย่าสักแต่คิดว่า รัฐศาสตร์ คือ ศาสตร์แห่งการปกครองประชาชน แต่ควรถือว่า ราษฎรเป็นทรัพย์สมบัติของรัฐ เป็นเหมือนปัจจัยในการผลิตอย่างหนึ่ง ทำอะไรก็ทำให้เกิดประโยชน์และรายได้แก่แผ่นดิน  เกิดประโยชน์แก่ทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน เกิดประโยชน์แก่คนของแผ่นดินคือข้าราชการ
สิ่งที่ควรกล่าวถึงอีกประการหนึ่งคือ  ในอดีตนั้น รัฐศาสตร์ไทย เป็นการปกครองที่ราษฎรเป็นของใครขึ้นอยู่กับสังกัด ใครมีเจ้าขุนมูลนาย ก็ไม่คิดจะเปลี่ยน เพราะถูกใจทั้งนายและบ่าว  ราษฎรเองก็ต้องการมีเจ้าของเพื่อจะปกป้องคุ้มครองให้ตนพ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ถ้าเจ้าของนั้น เป็นเจ้าขุนมูลนายที่มีความเป็นธรรม มีใจเมตตากรุณา ก็ยิ่งมีความสุข  ในขณะที่เจ้าขุนมูลนายที่รีดนาทาเร้น ราษฎรต้องไปหาเจ้าของที่อื่นให้เขามาช่วยป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประชาชนเริ่มรู้จักสิทธิ รู้จักหน้าที่ รู้จักประโยชน์ รู้จักที่จะรักษาประโยชน์ของตน และมีความประสงค์ที่จะแสวงหาประโยชน์เพิ่มเติมให้กับตน อยากจะมีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินใจ ตัดสินโชคชะตาของตนเอง มีการประชุมปรึกษาหารือ และร้องเรียนต่อผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจ ที่จะบันดาลอะไรให้เป็นไปได้ มีการพบปะหารือกันเสมอ  ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ามีความโน้มเอียงที่ประชาชน ที่แต่ก่อนเรียกว่า ราษฎร กำลังก้าวเข้ามามีส่วนสำคัญในการปกครองตนเอง  ในขณะที่มีสภาผู้แทนราษฎร มีนักการเมืองเข้ามาเป็นรัฐมนตรี มีระบบประชาธิปไตยขั้นต่ำสุด คือ สภาตำบล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในปัจจุบัน  ดังนั้น หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของรัฐบาล  จึงควรออกไปปรับตัวปรับความเข้าใจ ประสานผลประโยชน์ให้กับประชาชน  นั่นคือ ผู้ปกครองจะต้องเข้าใจและรู้ภูมิหลัง background  ที่สามารถประสานงานกับประชาชนในเรื่องนั้น ๆ ได้ ในขณะที่รัฐศาสตร์ไทยยังต้องคำนึงถึงปัญหาในสังคมวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี  รัฐศาสตร์จะเข้มแข็งก็ต่อเมื่อ กลไกในระบบราชการมีการเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ชิดประชาชน เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ องค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน และ ผู้ใหญ่บ้าน ได้ตระหนักถึงแนวโน้มในวิถีรัฐศาสตร์ไทย (คึกฤทธิ์  ปราโมช.๒๕๒๘ :๗-๑๕)
ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงตัวอย่างการมองภาพรัฐศาสตร์ไทยอย่างกว้าง ๆ เท่านั้น  ในขณะที่ถ้ามองรัฐศาสตร์โดยทั่วไปเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง การศึกษาการเมืองจึงเป็นความพยามในการค้นหากฎเกณฑ์ ข้อสรุป หรือทฤษฎีเพื่อนำไปใช้อธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองหรือเพื่อนำไปใช้พยากรณ์เกี่ยวกับปรากฎการณ์ทางการเมืองในสังคมได้  การเมืองเกี่ยวข้องกับอำนาจและการกำหนดการมีส่วนร่วมในอำนาจที่ได้มา การได้มาซึ่งอำนาจ การใช้อำนาจและรักษาไว้ซึ่งอำนาจ การแย่งชิงอำนาจ  การมอบหมายอำนาจ และการทวงอำนาจคืนจากรัฐบาลโดยประชาชน  ทั้งโดยวิถีทางแห่งประชาธิปไตย และการปฏิวัติ รัฐประหาร เป็นต้น(สมศักดิ์  เกี่ยวกิ่งแก้ว. ๒๕๒๘ :๑-๒ )
อย่างไรก็ตามการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ยังรวมไปถึงการศึกษาเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แนวคิดและรูปแบบการบริหารการเมืองการปกครองของประเทศต่าง ๆ  ทั้งที่เป็น ประชาธิปไตย เผด็จการ ที่มีผลสืบทอดถึงรูปแบบการปกครองของประเทศต่าง ๆในปัจจุบัน
การศึกษารัฐศาสตร์อันเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้น ประกอบด้วยเนื้อหาหลัก กล่าวคือ คือ บทนำ โครงสร้างของรัฐ อำนาจอธิปไตย รูปแบบรัฐบาล อำนาจ กระบวนการทางการเมือง  กฎหมาย มติมหาชน การมีส่วนร่วมในการปกครอง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีการศึกษารายละเอียดในแต่ละบทสืบต่อไป

ประวัติการศึกษารัฐศาสตร์สากล

สมัยกรีกโบราณ ถึงยุโรปสมัยกลาง (ศควรรษที่ 6 - 5 ก่อนคริตกาล - ราว ศตวรรษ ที่ 12 - 14)

จารีตของวิชารัฐศาสตร์ก็ไม่ต่างจารีตของวิชาที่วงวิชาการไทยรับสืบทอดมาจากวงวิชาการในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษคือจะกล่าวอ้างไปถึงงานปรัชญาของ เพลโต และ อริสโตเติล ว่าเป็นงานที่ศึกษารัฐศาสตร์ในยุคเริ่มแรก ทว่าหากกล่าวอย่างเคร่งครัดนั้นในยุคกรีกโบราณมิได้มีการศึกษารัฐศาสตร์ เพราะการศึกษาทุกอย่างของกรีกโบราณจะเรียกว่าเป็นการ "แสวงหามิตรภาพกับปัญญา" (philosophia ปัจจุบันแปลว่าปรัชญา ซึ่งใช้แทนกันเป็นการทั่วไป แต่โดยนัยที่เคร่งครัดแล้วมีความตางกัน) อย่างไรก็ตามนักปรัชญากรีกโบราณโดยเฉพาะสายโสคราตีส, เพลโต และอริสโตเติลจะเชื่อว่า การศึกษาการเมืองคือเรื่องที่สำคัญที่สุด (politics is a master of science) การศึกษาปรัชญาโดยใช้การเมืองเป็นศูนย์กลางคือรากฐานของวิชาปรัชญาการเมือง และประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง
ในสมัยโรมันการศึกษาการเมืองไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก อย่างไรก็ตามมรดกทางความคิดที่สำคัญคือการสร้างระบบกฎหมายที่ต่อมากลายเป็นรากฐานที่สำคัญของวิชานิติศาสตร์ และระบบการบริหารจัดการสาธารณะรัฐที่ต่อมากลายเป็นรากฐานของวิชาการบริหารจัดการสาธารณะ ผลงานที่สำคัญในยุคโรมันคืองานของซิเซโร
หลังสิ้นสุดยุครุ่งเรื่องของปรัชญากรีก และการล่มสลายของจักรวรรดิ์โรมัน (โรมันตอนต้นปกครองโดยสภาเรียกว่าสาธารณะรัฐ ส่วนในตอนปลายปกครองโดยจักพรรดิ์จึงเรียกว่าจักรวรรดิ์) ศาสนาคริสต์เข้ามามีอิทธิพลต่อวิธีชีวิตของชาวยุโรปในทุกเรื่อง การศึกษาการเมืองจึงเป็นไปเพื่ออธิบายความว่าเหตุใดมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปตามความเชื่อของศาสนานั้นสามารถปกครองกันเองได้อย่างไร และกษัตริย์มีอำนาจชอบธรรมจากพระเจ้าอย่างไรจึงสามารถปกครองคนบาปได้ ในขณะเดียวกันปรัชญากรีดโบราณได้เติบโตในโลกมุสลิมเป็นอย่างมาก มีการนำปรัชญากรีกไปร่วมอธิบายกับหลักปรัชญามุสลิม และใช้เป็นรากฐานของการจัดการปกครอง ปรัชญากรีกในโลกมุสลิมต่อมามีอิทธิพลอย่างสูงต่อยุโรป โดยเฉพาะแนวคิดมนุษย์นิยมที่ต่อมากลายเป็นรากฐานของการปฏิวัติทางภูมิปัญญาในยุโรป (the age of enlightenment)

สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการถึงสมัยใหม่ตอนต้น (ราวศตวรรษ ที่ 13 - 19)

การปฏิวัติทางความคิดทางศาสนาคริสต์ การเติบโตขึ้นของแนวคิดมนุษย์นิยม (humanism) ทำให้การศึกษาการเมืองในยุคนี้มีการพูดถึงการเมืองของมนุษย์มากขึ้น โดยปรากฏชัดในงานเขียนเรื่อง "เจ้าผู้ปกครอง" (the prince) ของมาคิอาเวลลี ที่สอนการปกครองอย่างตรงไปตรงมา และในบางเรื่องดูจะโหดร้าย และน่ารังเกียจหากมองด้วยสายตาของผู้ที่เคร่งครัดในจารีตทางความเชื่อแบบมีศีลมีธรรมแบบยุโรป
การปฏิวัติทางความคิดวิทยาศาสตร์ยุคแรก (the scientific revolution) ส่งผลให้ในยุโรปเกิดกระแสการนำเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาการเมือง โดยปรากฏอย่างชัดเจนในงานเรื่อง เลอไวธัน (Levithan) ของ ฮอบส์ ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคมว่าไม่ต่างจากระบบกลไล ที่รัฐคือองคาพยพใหญ่ และมนุษย์คือฟันเฟือง ในขณะเดียวกันงานของรุสโซก็สร้างข้อถกเถียงที่สำคัญว่าการศึกษาการเมืองนั้นจะใช้วิทยาศาสตร์หรือปรัชญาดีอิทธิพลทางความคิดดังกล่าวกลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของแนวคิดทางการเมืองในยุคสมัยใหม่ตอนปลาย และช่วงสงครามเย็นนั่นคือ อุดมการณ์ทางการเมือง

สมัยใหม่ตอนปลาย (ราวศตวรรษ ที่ 19 - 20)

เป็นยุคที่วิชา รัฐศาสตร์มีการศึกษาที่นำเอาวิทยาศาสตร์ เข้ามาช่วยศึกษา และเรียกการศึกษาการเมืองว่า "รัฐศาสตร์" (political science) เป็นครั้งแรก ในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งแต่เดิมมีการเรียนการสอนอยู่ในคณะประวัติศาสตร์ ซึ่งศาสตร์ตราจารย์คนแรกของวิชารัฐศาสตร์คือฟรานซ์ ลีแบร์ (Francis Lieber) นักปรัชญาอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน โดยดำรงตำแหน่งเป็นศาตราจารย์ประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
การศึกษาวิชาในยุควิทยาศาสตร์นี้ได้สร้างวิธีการศึกษาการเมืองขึ้นมา นั่นคือการศึกษาการเมืองผ่านการสร้าง ทฤษฎีการเมือง นักรัฐศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่านักทฤษฎีการเมืองจะมองว่าทฤษฎี คือเครื่องมือในการทำความเข้าในสภาพการเมืองโดยรวม ซึ่งผลิตผลของการศึกษาทำความเข้าใจดังกล่าวจะได้มาซึ่งองค์ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์สร้างตัวแบบ (model) เพื่ออธิบายความจริง (fact) ที่เกิดขึ้น ในยุคนี้ยังเชื่อว่าการศึกษาการเมืองโดยใช้ปรัชญา และประวัติศาสตร์เป็นเรื่องพ้นสมัย การศึกษาการเมืองในยุคนี้จึงเน้นศึกษาพฤติกรรมทางการเมือง แล้วนำมาวัดประเมินค่าในเชิงคณิตศาสตร์และสถิติ จึงเรียนรัฐศาสตร์ในยุคเริ่มแรกว่า สำนักพฤติกรรมศาสตร์ (behavioralism)
อย่างไรก็ตามในเวลาช่วง ทศวรรษที่ 1970 - 1980 นักรัฐศาสตร์จำนวนมากก็ตั้งข้อกังขาว่าการเมืองนั้นสามารถวัดค่าเป็นตัวเลขได้หรือไม่ การถกเถียงดังกล่าวเกิดในวงวิชาการอเมริกัน อันนำไปสู่การปฏิวัติการศึกษาการเมืองที่พยายามดึงเอาปรัชญา และประวัติศาสตร์กลับมาอีกครั้ง เรียกว่านักรัฐศาสตร์สายหลังพฤติกรรมศาสตร์ (post-behavioralism)

ปัจจุบัน

การศึกษารัฐศาสตร์ในปัจจุบันมี 2 กระแส กระแสแรกคือสายที่ยังศึกษาแนวพฤติกรรมศาสตร์ คือเชื่อมั่นว่าการศึกษาการเมืองผ่านตัวเลข และสถิติมีความมั่นคงเชื่อถือได้ ส่วนอีกกระแสคือสายที่พยายามกลับไปใช้ปรัชญา และประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษา รัฐศาสตร์ในปัจจุบันจึงมีลักษณะสาขาวิชาที่เป็นสหวิทยาการ (interdisciplinary) สูงมากสาขาวิชาหนึ่งอย่างไรก็ตามจากการที่ความคิดตระกูลหลังสมัยใหม่เข้ามามีอิทธิพลต่อแวดวงวิชาการในทศวรรษที่ 1980 ทำให้วิชารัฐศาสตร์ก็หลีกหนีแนวนิยมนี้ไม่พ้น
ปัจจุบันการศึกษารัฐศาตร์มิได้จำกัดขอบเขตการศึกษาอยู่ที่อธิบายสถาบัน และกระบวนการสร้างสถาบันทางการเมือง ทั้งนี้ก็ด้วยความเข้าใจ “การเมือง” ที่เปลี่ยนแปรไป โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของตระกูลทางความคิดแบบหลังโครงสร้างนิยม (post – structuralism) หรือลัทธิหลังสมัยใหม่ โดยเฉพาะความคิดเรื่อง “เทคโนโลยีแห่งอำนาจ (technologies of power)” ของมิแชล ฟูโกต์ นักคิดชาวฝรั่งเศส กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเกี่ยวกับแนวความคิดเรื่องอำนาจ และการศึกษาการเมือง ปัจจุบันการศึกษาการเมืองจึงไม่ต่างจากการศึกษาแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่นักรัฐศาสตร์เห็นว่ามีปฏิบัติการณ์ทางอำนาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะหนังสือเรื่อง “วินัย และ การลงโทษ : การกำเนิดขึ้นของเรือนจำ (Discipline and Punish: The Birth of the Prison)” ได้เสนอมุมมองใหม่ต่อสิ่งที่เรียกว่าการเมือง และอำนาจอย่างมหาศาล 

ประวัติการศึกษารัฐศาสตร์ของไทย

การศึกษาด้านรัฐศาสตร์ของไทยเริ่มต้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริจัดตั้ง โรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน เพื่อรับคัดเลือกนักเรียนเข้ามาฝึกหัดเป็นข้าราชการตามกระทรวงต่าง ๆ (สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์หรือ รปส.) ต่อมาได้มีการขยายการศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพัฒนาโรงเรียนดังกล่าวเป็น โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จากเหตุดังกล่าวนี้ การศึกษารัฐศาสตร์จึงเริ่มต้นขึ้น โดยคณะรัฐศาสตร์แห่งแรก คือ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แห่งที่สอง คือ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแห่งที่สาม คือ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ข้อสังเกตคือในยุคเริ่มแรกนั้นรัฐศาสตร์ไทยนั้นเน้นผลิตบัณฑิตเข้าสู่วงราชการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต่อมาจึงเป็นที่มาของการใช้ตราสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของสาขาวิชา[ต้องการอ้างอิง]และอีกส่วนหนึ่งคือการเรียนการสอนรัฐศาสร์ไทยในยุคแรก อันที่จริงเป็นการเรียนการสอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์เพื่อสร้างข้าราชการป้อนให้กับรัฐไทย หรือก็คือสอนวิชาบริหารจัดการสาธารณะภายได้ชื่อรัฐศาสตร์ทำให้ในเวลาต่อมาเกิดความสับสนในวงวิชาการว่ารัฐศาสตร์กับรัฐประศาสนศาสตร์นั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร อย่างไรก็ตามในสังคมไทยมีการศึกษารัฐศาสตร์กระแสหนึ่งซึ่งเริ่มมีอิทธิพลขึ้นมากหลัง พ.ศ. 2526 เรียกว่ารัฐศาสตร์ทวนกระแสซึ่งโดยภาพรวมก็ไม่ต่างแนวหลังพฤติกรรมศาสตร์ในตะวันตก
การเมืองการปกครองของอินเดียปัจจุบัน
การปกครองของอินเดียเป็นระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แยกศาสนาออกจากการเมือง แบ่งอำนาจการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (Secular Democratic Republic with a parliamentary system) แบ่งเป็น ๒๘ รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก ๗ เขต การปกครองของอินเดียมีรัฐธรรมนูญเป็นแม่บท มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และประมุขของฝ่ายบริหารตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการบริหารที่แท้จริงอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายประนาบ มุกเคอร์จี (Pranab Mukherjee) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ ๑๓ ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายมานโมฮัน ซิงห์ (Manmohan Singh) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เป็นสมัยที่ ๒)
อินเดียมีความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยจำนวนประชากรกว่า ๑.๒๒ พันล้านคน โดยมีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๑ ถึง ๗๐๐ ล้านคน ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สำคัญของการเมืองการปกครองของอินเดียนับตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจนถึงปัจจุบัน
การปกครองของส่วนกลาง
ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา (Parliament) อินเดีย เป็นระบบสภาคู่ (Bicameral) ประกอบด้วย
ราชยสภา (Rajya Sabha) หรือวุฒิสภา รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ราชยสภามีสมาชิก ไม่เกิน ๒๕๐ คน ปัจจุบันมีสมาชิก ๒๔๕ คน โดย ๑๒ คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทุกๆ ๒ ปี และอีก ๒๓๓ คน มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ (Legislative Assembly) หรือวิธานสภา เป็นผู้เลือก ถือเป็นผู้แทนของรัฐและดินแดนสหภาพ สมาชิกราชยสภามีวาระการทำงาน ๖ ปี โดยทุกสองปีจะมีการเลือกตั้งและแต่งตั้งสมาชิกราชยสภาจำนวน ๑ ใน ๓ ใหม่
รองประธานาธิบดีอินเดียเป็นประธานราชยสภาโดยตำแหน่ง ปัจจุบัน คือนาย Mohammad Hamid Ansari
โลกสภา (Lok Sabha) หรือสภาผู้แทนราษฎร โลกสภามีสมาชิกได้ไม่เกิน ๕๕๐ คน โดย ๕๔๓ คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง (๕๓๐ คน มาจากแต่ละรัฐ ๑๓ คน มาจากดินแดนสหภาพ) และอีกไม่เกิน ๒ คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดีจากชุมชนชาวผิวขาว (Anglo-Community) ในประเทศ สมาชิกโลกสภามีวาระคราวละ ๕ ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภา สมาชิกโลกสภามีวาระการทำงาน ๕ ปี
ปัจจุบัน นาง Meira Kumar จากพรรคคองเกรส ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานผู้หญิงคนแรก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒
การตรากฎหมายต่างๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภา
ระบบการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งสมาชิกราชยสภามีทั้งแบบมีผู้แทนได้หลายคนและแบบที่เขตเลือกตั้งมีผู้แทนได้คนเดียว เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐและดินแดนสหภาพ โดยใช้หลักการตัวแทนตามสัดส่วน หรือคะแนนสูงสุดหนึ่งเดียวแล้วแต่กรณี
อินเดียมีการเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาครั้งแรก ภายหลังได้รับเอกราช เมื่อปี ๒๔๙๕ และมีการประชุมโลกสภาครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๙๕ การเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาเป็นการเลือกตั้งทางตรงโดยใช้เกณฑ์เสียงข้างมากปกติ มีการแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมด ๕๔๓ เขต โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดียเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินงานด้วยความเป็นกลาง และสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐ การเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาครั้งล่าสุด คือเดือนเม.ย.-พ.ค. ๒๕๕๑ ซึ่งถือเป็นการจัดการเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 60 และมีวิธีจัดการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการใช้ทะเบียนรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีรูปถ่ายประกอบ ทั่วทั้งประเทศเป็นครั้งแรก ใน ๕๒๒ เขตเลือกตั้ง (จากทั้งหมด ๕๔๓ เขต โดยยกเว้นบางเขตในรัฐอัสสัม นาคาแลนด์ ชัมมูร์และแคชเมียร์) เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตในการปลอมแปลงบุคคลที่มีสิทธิลงคะแนนเสียง นอกจากนั้น มีการใช้เครื่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ (electronic voting machine) ทั่วประเทศ จำนวน ๑.๑ ล้านเครื่อง ทำให้สามารถทราบผลการเลือกตั้งทั่วประเทศได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง และใช้กำลังเจ้าหน้าที่พลเรือนทั้งหมด ๔ ล้านคน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ๒.๑ ล้านคน เพื่อดูแลรักษาความเรียบร้อยในการเลือกตั้ง
วาระการประชุมโลกสภา แบ่งเป็น 1) การประชุมพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ (Budget Session) ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2) การประชุมวาระฤดูฝน (Moonsoon Session) ระหว่างเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 3) การประชุมวาระฤดูหนาว (Winter Session) ระหว่างเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม
อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา
มีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย กำกับดูแลการบริหารประเทศของฝ่ายบริหาร ผ่านร่างงบประมาณ อภิปรายประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์แห่งชาติ หรือมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ แผนการพัฒนา นโยบายแห่งชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจหน้าที่ที่แตกต่างระหว่างโลกสภาและราชยสภา คือ โลกสภากำกับดูแลการบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรี และมีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการเงินและงบประมาณ ในขณะที่ราชยสภาไม่มีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการเงิน แต่มีอำนาจในการพิจารณากฎหมายอื่นๆ
โลกสภาและราชยสภามีคณะกรรมาธิการต่างๆ อยู่ภายใต้ โดยแบ่งคณะกรรมาธิการเป็นสองประเภท คือ Standing Committee และ ad hoc Committee คณะกรรมาธิการที่ถือว่ามีความสำคัญ คือ
Committee on Public Accounts มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงของรัฐสภา (เป็นคณะกรรมาธิการของราชยสภา)
Committee on Public Undertakings มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานของผู้ตรวจงบประมาณแผ่นดิน (เป็นคณะกรรมาธิการของราชยสภา)
Committee on Estimates มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (เป็นคณะกรรมาธิการของโลกสภา)
อนึ่ง ประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจเรียกประชุมสภา เลื่อนการประชุม กล่าวอภิปรายต่อสภา ยุบโลกสภา และประกาศกฎหมายได้ทุกเวลา ยกเว้นในระหว่างสมัยการประชุมของรัฐสภา และตามรัฐธรรมนูญ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสามารถเป็นสมาชิกของโลกสภาหรือราชยสภาก็ได้
ฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดี เป็นประมุขของรัฐ และเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Head of Executives of the Union) ซึ่งประกอบด้วยรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล (Council of Ministers) ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้งสองสภา รวมทั้งสภานิติบัญญัติของแต่ละรัฐ ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี และสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวาระที่สองได้ คุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ คือ ต้องมีสัญชาติอินเดีย มีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๕ ปี และเป็นสมาชิกโลกสภา
รองประธานาธิบดี ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้งสองสภา ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี และเป็นประธานราชยสภาโดยตำแหน่ง
นาย Hamid Ansari รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีต่ออีกหนึ่งสมัย เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ และทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕
นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีประกอบด้วย รัฐมนตรี (Ministers) รัฐมนตรีที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (Ministers of State - Independent Charge) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) คณะรัฐมนตรีรายงานโดยตรงต่อโลกสภา
รัฐบาลอินเดียชุดปัจจุบัน มีรัฐมนตรีว่าการ (Cabinet Ministers) ๓๓ คน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (Ministers of State with Independent Charge) ๗ คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) ๓๘ คน รวม ๗๘ คน
ฝ่ายตุลาการ
อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ปกป้องและตีความรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาประจำศาลฎีกา มีจำนวนไม่เกิน ๒๕ คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ในระดับรัฐ มีศาลสูง (High Court) ของตนเองเป็นศาลสูงสุดของแต่ละรัฐ รองลงมาเป็นศาลย่อย (Subordinate Courts) ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ อย่างไรก็ตาม อำนาจตุลาการของรัฐอยู่ภายใต้ศาลฎีกาซึ่งมีอำนาจสูงสุด


การปกครองระดับรัฐ
รัฐธรรมนูญอินเดียแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลาง (Government of India) และรัฐบาลมลรัฐ (State Government) อย่างชัดเจน รัฐบาลมลรัฐมีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของมลรัฐ
โครงสร้างของฝ่ายบริหารในแต่ละมลรัฐ ประกอบด้วย
ผู้ว่าการรัฐ (Governor) เป็นประมุขของรัฐ ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี (ตามข้อเสนอแนะของพรรคการเมืองที่เป็นพรรครัฐบาล) มีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งถอดถอนมุขมนตรีและคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ แต่งตั้งอัยการประจำรัฐ เรียกประชุมและยุบสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ให้ความเห็นชอบและยับยั้งร่างกฎหมายของรัฐ มีอำนาจลดโทษและให้อภัยโทษ
รัฐบาลแห่งรัฐ (State Government) ประกอบด้วยมุขมนตรี (Chief Minister) เป็นหัวหน้าและเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารภายในรัฐ และคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ (State Ministers) ทั้งนี้ รัฐบาลแห่งรัฐจะมาจากพรรคการเมืองที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งภายในรัฐ หรือได้รับการแต่งตั้งจากสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
สภานิติบัญญัติแห่งรัฐในรัฐพิหาร จัมมูร์แคชเมียร์ กรณาฏกะ มหาราษฏระ และอุตรประเทศ มีสองสภา คือ Legislative Council และ Legislative Assembly ในรัฐอื่นๆ ที่เหลือ มีเพียงสภาเดียว คือ Legislative Assembly
Legislative Council (ทำหน้าที่คล้ายราชยสภา) ) มีสมาชิกไม่มากกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิก Legislative Assembly และไม่น้อยกว่า ๔๐ คน สมาชิกหนึ่งในสามได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิก Legislative Assembly หนึ่งในสามมาจากผู้ดำรงตำแหน่งในองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หนึ่งในสิบสองเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในสถานศึกษาของรัฐ ที่เหลือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าการรัฐ
Legislative Assembly(ทำหน้าที่คล้ายโลกสภา) ) มีสมาชิกได้ไม่เกิน ๕๐๐ คน และไม่น้อยกว่า ๖๐ คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนตามการแบ่งเขตการเลือกตั้ง