วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รัฐศาสตร์และการเมือง

1.ความหมายของรัฐศาสตร์
รัฐศาสตร์  (Political Science)  มีผู้ให้ความหมายไว้หลายความหมาย แต่อธิบายรวม ๆ คือเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวกับการควบคุม (Control) เกี่ยวกับอิทธิพล (Influence) เกี่ยวกับอำนาจ (Power) หรือสิทธิอำนาจ (Authority) โดยเฉพาะในระดับที่เกี่ยวกับรัฐ
2.ขอบเขตของรัฐศาสตร์
          เป็นวิชาทางการเมืองหรือศาสตร์ว่าด้วยอำนาจ มุ่งศึกษาองค์การที่มีอำนาจปกครองรัฐหนึ่งและการแข่งขันกันมีอำนาจในรัฐ แยกได้เป็น 6 กลุ่มสาขา ดังนี้
          2.1  ทฤษฎีการเมืองและประวัติความคิดทางการเมือง (Political  and History of Political Thought)
          2.2  สถาบันทางการเมือง (Political  Lnstitutions)
          2.3  กฏหมายสาธารณะ  (Public  Laws)
          2.4  พรรคการเมือง กลุ่มอิทธิพล และประชามติ  (Political  Parties. Pressure Groups, Public Opinion)
          2.5  รัฐประศาสนศาสตร์  (Public Administration)
          2.6  ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  (International Relations)

3.ประวัติความเป็นมาของรัฐศาสตร์  (Power)
3.1  สมัยกรีก
          การศึกษารัฐศาสตร์รุ่งเรืองอย่างมาก เน้นความสำคัญของศีลธรรม พยายามทำรัฐให้เป็นอุดมคติ นับเป็นรากฐานสำคัญของรัฐศาสตร์อย่างแท้จริง ปัจจุบันเรายกย่องให้ เพลโต เป็นบิดาของปรัชญาการเมือง และ อริสโตเติลเป็นบิดาของวิชารัฐศาสตร์
3.2  สมัยโรมัน
          จะแตกต่างกับยุคกรีกอย่างมาก ในยุคนี้รัฐศาสตร์จะไม่ให้ความสำคัญกับรัฐในอุดมคติมากนักแต่จะเป็นพวก ปฏิบัตินิยม มากกว่าคือ มีระเบียบวินัย เชื่อฟังผู้ปกครองและมีกฎหมาย แนวความคิดสำคัญของยุคนี้คือสิทธิส่วนบุคคล ความเท่าเทียมกัน และหลักประชาธิปไตย
3.3  สมัยฟื้นฟู
          ยุคนี้ รัฐ กลับมามีอำนาจขึ้นอีกครั้ง สันตะปาปาต้องต่อสู้กับการเกิดใหม่ของรัฐ มีการแยกรัฐออกจากศาสนาอย่างชัดเจน ยุคนี้มีการพัฒนาของรัฐอย่างชัดเจน มีสงคราม มีการล่าอาณานิคม การขยายตัวทางการค้าและอุตสาหกรรม
3.4  ยุคใหม่
          ให้ความสำคัญกับเรื่อง การศึกษาเชิงพฤติกรรม มากกว่าในรูปแบบขององค์กรการศึกษาในยุคใหม่จะมุ่งพิจารณาและวิเคราะห์ปรากฏการที่เกิดขึ้นจริง

4.ระเบียบศึกษารัฐศาสตร์
          ระเบียบวิธีศึกษาหรือระเบียบวิธี (Method) คือ วิถีทางที่คนหนึ่ง ๆ ใช้ในการศึกษา มีรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
          4.1 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์แบบเก่า (Traditional Political Science)
          วิธีการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดคือ  ปรัชญาการเมืองแบบคลาสสิค (Classical Political Philosophy)เป็นการศึกษาแบบประเมินค่า
          4.2 ระเบียบวิธีการศึกษาแบบประวัติศาสตร์ (Historical Method)         
          ริชาร์ด  เจนเสน กล่าวว่า ประวัติศาสตร์คือการเมืองในอดีต  ส่วนรัฐศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ปัจจุบัน แนวทางนี้แพร่หลายในศรรษวรรตที่แล้ว และใช้อยู่มากในปัจจุบัน
          4.3  ระเบียบวิธีการศึกษาแบบกฎหมาย (Legalistic Method)
          แนวทางนี้ปรับปรุงมาจากวิธีการศึกษาแบบประวัติศาสตร์ ทำให้เห็นขอบเขตระหว่างวิชาประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์อย่างชัดเจน ไม่จำกัดแค่เรื่องกฎหมายแต่สามารถศึกษาด้านกฎหมาย รัฐธรรมนูญของสถาบันการเมืองทุกสถาบัน
          4.4  ระเบียบวิธีการศึกษาแบบวิเคราะห์สถาบัน (Institutional Analysis)
          นักรัฐศาสตร์เห็นว่าจะศึกษาความเป็นทางการเมืองได้ชัดเจนที่สุดคือการศึกษาจากสถาบันการเมือง จึงให้ความสำคัญต่อสถาบันนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ อย่างมาก
          4.5  ระเบียบวิธีการศึกษาเชิงพฤติกรรมนิยม (Behavioralism)
          เป็นการศึกษาการเมืองแบบวิทยาศาสตร์ ผูศึกษาส่วนใหญ่ยึดแนวคิดปัจเจกบุคคล เน้นความสำคัญของพฤติกรรม ศึกษาในเรื่องทัศนคติ  บุคลิกภาพ  และกิจกรรมต่าง ๆ
          4.6  แนวการศึกษายุคหลังพฤติกรรมนิยม (Post-Behavioralism)
          ยุคหลังใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น มีการศึกษาเชิงประจักษ์ ข้อมูลส่วนใหญได้มาจากการสังเกตการณ์และแนวปริมาณ

5.ความสัมพันธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ
          วิชารัฐศาสตร์  เป็นการศึกษาถึงลักษณะ กฏเกณฑ์และวิธีการปกครองของมนุษย์จึงจำเป็นต้องอาศัยความรู้สาขาวิชาอื่น ๆ ประกอบกันไปด้วย อันได้แก่
5.1 รัฐศาสตร์กับประวัติศาสตร์
          เนื่องจาก เนื้อหาสาระของวิชาประวัติศาตร์ควบคุมเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ
          5.2 รัฐศาสตร์กับเศษฐศาสตร์
          วิชาเศรษฐศาตร์ ศึกษาเรื่องการผลิตสินค้าและบริการ การจำแนกแจกจ่ายและการบริโภค เป็นเรื่องความกินดีอยู่ดีของคนในสังคม รัฐศาสตร์เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก ความคาบเกี่ยวกันคือความเป็นอยู่ของคน มุ่งให้คนมีชีวิตอยู่อย่างดีแตกต่างกันคนละมิติ
          5.3 รัฐศาสตร์กับภูมิศาสตร์
          เกี่ยวข้องกันอยู่ ทางคือทฤษฎีเขตแดน ภูมิศาสตร์การเมือง  และภูมิรัฐศาสตร์
          5.4  รัฐศาสตร์กับสังคมวิทยา
          สัมพันธ์กันในเรื่องปัจจัยสังคมที่มีต่อการเมือง สังคมวิทยาการเมืองจะศึกษาว่าปัจจัยทางสังคมคือภูมิหลังของบุคคลมีผลกระทบต่อความคิดและการกระทำของนักการเมืองและปรากฏการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ อย่างไร
          5.5  รัฐศาสตร์กับมานุษยวิทยา
          มานุษยวิทยาการเมืองให้ความสนใจในเรื่องลักษณะของผู้นำแบบดั้งเดิมหรือผู้นำชุมชนที่ด้อยความเจริญ และการก่อตัวทางการเมือง
          5.6  รัฐศาสตร์กับจิตวิทยา
          รัฐศาสตร์ใช้วิธีการความรู้ทางจิตวิทยาสังคมในการอธิบายหรือศึกษาและคาดการณ์ต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การวิเคราะห์มติของมหาชน จิตวิทยาการเมือง ศึกษาในเรื่อง พฤติกรรมการลงคะแนนเสียง การโฆษณาชวนเชื่อ วิถีชีวิตของนักการเมืองระดับผู้นำ
          5.7 รัฐศาสตร์กับปรัชญาและจริยศาสตร์
          ความสนใจร่วมกันคือ ความยุติธรรมหรือความเป็นสัมมนา สันติวิธี หลักการปกครองบ้านเมืองที่อิงศาสนา การถือหลักเสรีภาพ เสมอภาค
          5.8  รัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์
          มีความเกี่ยวพันธ์กันมาก เนื่องจากชาติบ้านเมืองย่อมมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครอง
          5.9 รัฐศาสตร์กับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
          เกี่ยวพันธ์กันในเรื่อง  พิจารณาเชิงกำลังอำนาจ  ความต้องการพลังงานเชื้อเพลิง การผลิตทางการเกษตร ความสำคัญในทางการทูต ฯลฯ
          5.10 รัฐศาสตร์กับประชากรศาสตร์
          รัฐศาสตร์มีส่วนเกี่ยวพันกับนโยบายและการบริหารงานทางด้านประชากร ตามทฤษฎีของมัลธัส หากปล่อยให้ประชากรเป็นไปตามธรรมชาติ ย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อความอยู่ดีกินดีของราษฎร
          5.11 รัฐศาสตร์กับสาขาวิชาอื่น ๆ
          ได้แก่ รัฐศาสตร์กับศิลปกรรม รัฐศาสตร์กับนวนิยาย รัฐศาสตร์กับโหราศาสตร์ เป็นต้น 

6.ความหมายของการเมือง
          การเมือง (Politics) เป็นคำที่มีความหมายเชิงนามธรรมที่ละเอียดอ่อนมองได้หลายลักษณะ  แม้แต่นักรัฐศาสตร์เองก็ไม่สามารถให้ความหมายที่แน่นอนตายตัวได้ ซึ่งได้ให้ความหมายไว้หลายแนวความคิด ซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
          ความขัดแย้งของสมาชิกในสังคม เป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมทางการเมืองซึ่งเป็นกระบวนการต่อรองหาข้อยุติ กิจกรรมทางการเมืองต้องมีองค์ประกอบ ประการคือ
1.      เป็นการต่อสู้ ดิ้นรน แข่งขัน ต่อรอง ประณีประนอม
2.      โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินตกลงใจในปัญหาของส่วนรวม
3.      ผลของการตัดสินใจนั้นต้องมีผลกระทบต่อส่วนรวม
           
7.อำนาจทางการเมือง
          เป็นอำนาจที่มีความชอบธรรมในการตัดสินปัญหาสังคมและการกำหนดนโยบายสาธารณะ ผลการตัดสินใจจะต้องถูกบังคับใช้ให้ปฏิบัติตาม มีลักษณะสำคัญ คือ

          7.1 สิทธิและหน้าที่  (Rights - obligations) การใช้สิทธิคือการยอมให้มีเสรีภาพที่จะปฏิบัติภายในขอบเขตแห่งสิทธินั้น  หน้าที่คือการกำหนดให้บุคคลใดหรือกลุ่มใดสามารถใช้สิทธิของตนได้อย่างเสรี รวมทั้งป้องกัน รักษาสิทธิด้วย
          7.2 ความชอบธรรม (Legitimacy)  อำนาจของสังคมนั้น จะได้รับการยอมรับก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม
          7.3 การบังคับและการยินยอม (Coercion and Consent) คือความสามารถที่จะบังคับเมื่อมีการละเมิดอำนาจ มิฉะนั้นแล้วสิทธิใด ๆ ก็จะปราศจากความหมาย  อำนาจจะต้องมีการบังคับและการลงโทษ
          7.4 อำนาจและการปฏิวัติ  (Authority and Revolution) เมื่อประชาชนทั้งหลายร่วมใจกันปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะต่อต้านการบังคับของรัฐ การบังคับก็จะไร้ผล ความพยายามของรัฐที่จะบังคับ อาจทำให้เกิดการปฏิวัติ เป็นการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะเข้าควบคุมองค์การทางการเมือง
          7.5 สิทธิที่จะยุบเลิก (The Power to dissolve)  สมาชิกของสังคมมีอำนาจที่จะยุบเลิกสังคมโดยวิธีการไม่ยอมเชื่อฟัง ปฏิบัติตามอำนาจของสังคมนั้น เมื่อใดที่สมาชิกแห่งสังคมปฏิเสธ ไม่ยอมปฏิบัติตามอำนาจแห่งสังคมนั้น สังคมก็ต้องสลายตัวไป
          7.6  อำนาจและความคิดเห็น (Authority and Opinion) หากรัฐบาลใดพยายามที่จะสร้างสิทธิหรือหน้าที่ที่ขัดต่อหลักความเชื่อขั้นมูลฐานของประชาชน รัฐนั้นก็จะต้องเผชิญหน้ากับพลังทางสังคมที่มีอำนาจ ที่จะพยายามต่อต้านสิ่งที่รัฐบาลสร้างขึ้น

8.แหล่งที่มาของอำนาจทางการเมือง
 หมายถึง แหล่งความชอบธรรมที่เป็นต้นกำเนิดของอำนาจทางการเมือง ซึ่งได้กล่าวไว้หลายทฤษฏี คือ
          8.1 อำนาจทางการเมืองที่เกิดจากหลักความศักด์สิทธิ์
          8.2 อำนาจทางการเมืองที่เกิดจากหลักปัจเจกนิยม
          8.3 อำนาจทางการเมืองที่เกิดจากสหนิยม
          8.4 อำนาจทางการเมืองที่เกิดจากจารีตประเพณี
          8.5 อำนาจทางการเมืองที่เกิดจากกฏหมาย
          8.6 อำนาจทางการเมืองที่เกิดจากผู้นำที่เปี่ยมบารมี

9.กระบวนการทางการเมือง
          หมายถึงกิจกรรมทุกประเภทที่ประชาชน ทั้งที่เป็นประชาชนและกลุ่มบุคคลพยายามที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอันเป็นที่ยอมรับของชุมชนเมืองนั้น และใช้อำนาจนั้นเพื่อให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้มาซึ่งสิทธิที่พึงประสงค์
                   
10.มนุษย์กับการเมือง
          การเมืองได้สอดแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของสมาชิกในสังคมมาก การเมืองอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นสมาชิกของสังคมสมควรที่จะเอาใจใส่การดำเนินงานของรัฐบาลที่ตนเป็นเจ้าของ ซึ่งปัจจุบันมีการสนับสนุนให้ประชาชนเอาใจใส่การเมืองในหลายระดับและความเกี่ยวข้องทางการ  เช่น  การรับฟังข่าวสารการเมือง จนถึง การเป็นเจ้าหน้าที่พรรค และการรับสมัครเลือกตั้ง เป็นต้น

11.รากฐานของการเมือง
          ในสังคมมนุษย์ แต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ดังนั้นจะเป็นธรรมดาที่จะต้องมีความขัดแย้งกัน ความแตกต่างนี้ไม่มีทางสูญสิ้นไปความขัดแย้งอาจตกลงกันได้โดยวิธีทางการเมือง ความแตกต่างที่สำคัญคือ
          11.1 ความแตกต่างในทางเศรษฐกิจ
          ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจทำให้การแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของส่วนรวมไม่ทัดเทียมกัน เมื่อกลุ่มผู้เสียเปรียบทางเศรษฐกิจรู้ว่ากลุ่มของตนไม่ได้รับความยุติธรรมความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น

          11.2 ความไม่เสมอภาคทางการเมือง
          ลักษณะความไม่เสมอภาคในการเข้าสู่อำนาจทางการด้วยสาเหตุของผิว เชื้อชาติ  และศาสนา เป็นต้นก่อให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อย มีปมด้อย ถูกกีดกันและถูกลบหลู่เกียติภูมิ ถ้าความไม่เสมอภาคเกิดในระดับที่สูงขึ้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการเมืองนอกรูปแบบ อันได้แก่ การจลาจล รัฐประหาร และการปฏิวัติ ความรุนแรงเกิดขึ้นเพราะอำนาจถูกปิดกั้น
          11.3 ความแตกต่างในเรื่องความคิดเห็น
          ทุกคนมีพื้นฐานทางความคิดที่แตกต่างกัน ย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งของกลุ่มชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันในสังคม เช่น พรรคการเมือง  และกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง ความขัดแย้งย่อมเป็นที่มาของกิจกรรมทางการเมือง
          11.4 ความแตกต่างในเรื่องของภูมิศาสตร์
          ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์อาจกำหนดพฤติกรรมทางการเมืองได้ เช่น ประชาชนในชนบทย่อมมีความต้องการที่แตกต่างจากคนในเมือง สภาพทางภูมิศาสตร์ได้สร้างความไม่เท่าเทียมกัน ความแตกต่างนี้ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

12.ความสำคัญของการเมือง
          ความสำคัญของการเมืองโดยสรุปมีความสำคัญ ประการคือ
          - การเมืองเป็นวิถีชีวิตแบบหนึ่งของมนุษย์ภายในรัฐ
          - มนุษย์ภายในรัฐไม่อาจหลีกหนีให้พ้นจากการเมืองได้เลย
          - กิจกรรมทางการเมืองนำไปสู่การใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อตัดสินใจในปัญหาสังคม และการตัดสินใจนั้นมีผลบังคับใช้เหนือพลเมืองของรัฐ

13.ข้อจำกัดของการเมือง
          ชีวิตของมนุษย์เป็นไปด้วยความแตกต่างกัน อำนาจทางการเมืองไม่สามารถแก้ใขความแตกต่างพื้นฐานของมนุษย์ได้มากนัก เพียงช่วยให้เกิดข้อตกลงชั่วคราวและผ่อนคลายความตึงเครียดของสถาณการณ์เท่านั้น แม้ว่าจะมีคณะทางการเมืองแล้วก็ตาม แต่มีข้อจำกัดของอำนาจทางการเมืองหลายประการ ได้แก่
          13.1  ธรรมชาติของมนุษย์และสังคม
          13.2 ข้อจำกัดในการจัดสรรทรัพยากร
          13.3 สภาพที่อยู่นอกหนือการควบคุม
          13.4 สภาพแวดล้อมของสังคม

14. ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์และการเมือง
          รัฐศาสตร์และการเมืองเป็นคำที่มีความหมายแตกต่างกันไป แต่มีความเกี่ยวข้องกันคือ รัฐศาสตร์ เป็นวิชาการ หรือศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเมือง ส่วนการเมืองเป็นกิจกรรมของมนุษย์ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้อิทธิพลและการต่อรองระหว่างกลุ่มต่าง ๆ เพื่อการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของส่วนรวม
          ความแตกต่างระหว่างรัฐศาสตร์และการเมือง สรุปคือ
          รัฐศาสตร์มีฐานะเป็นวิชาการหรือศาสตร์อย่างหนึ่งที่ศึกษาการเมืองอย่างมีระบบในแนวทฤษฏี ส่วนการเมืองเป็นกิจกรรมหรือขบวนการอย่างหนึ่งในสังคมที่มีลักษณะเป็นปฏิบัติการ
          รัฐศาสตร์มีแนวโน้มที่จะศึกษาการเมืองอย่างปราศจากค่านิยม ส่วนกิจกรรมทางการเมืองมักจะเกี่ยวข้องกับค่านิยมอย่างไกล้ชิด
         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น