ลักษณะทั่วไปของวิชารัฐศาสตร์
การศึกษาที่ถือว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตและอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด คือ การศึกษาเรื่ององค์กรทางการเมือง รูปแบบการปกครองและรูปแบบรัฐบาล เพราะไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางการเมือง วิธีการปกครอง และรัฐบาล ย่อมมีหน้าที่ในการให้การบริการ และพิทักษ์สิทธิประโยชน์ของประชาชนเป็นองค์รวม เพราะฉะนั้นถ้าประชาชนได้เรียนเรื่องดังกล่าวจนเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว แน่นอนว่าต้องสามารถระบุหรือชี้ลงไปได้ว่า รัฐบาลของตนมีวิธีการปกครอง การบริการกิจการบ้านเมืองนั้นเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ด้วยเหตุนี้การศึกษาวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้น (Introduction to Political Science ) จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างวิสัยทัศน์ ความเข้าใจต่อระบบการเมืองการปกครอง ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนการศึกษารัฐศาสตร์ที่ดีนั้นต้องมีการวิเคราะห์ถึงทฤษฎีต่าง ๆ ที่นำเสนอโดยนักปรัชญา (Philosophers) นักปฏิวัติสังคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะแนวคิดต่าง ๆ ในอดีตมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป และปฏิวัติรูปแบบการเมืองการปกครอง เช่น Plato ,Aristotle, และ John Locke เป็นต้น การเรียนแนวคิดจากนักปรัชญาดังกล่าว นักรัฐศาสตร์ยังนำมาเป็นแนวทางในการศึกษา (Approaches) โดยแบ่งเป็นลัทธิการเมือง ทฤษฎีการแสวงหาอำนาจ รูปแบบการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งนี้วัตถุประสงค์สูงสุดของการศึกษาก็เพื่อการเปรียบเทียบรูปแบบ ทฤษฎีต่าง ๆ และนำมาใช้ให้เหมาะสมกับชีวิต และการดำเนินนโยบายทางการเมืองการปกครองต่อไป
นอกจากนั้น การศึกษารัฐศาสตร์ยังเกี่ยวข้องกับการปกครองของไทยโดยตรง ระบอบการปกครองประเทศของไทยก็คือ ประชาธิปไตย ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่าเผด็จการที่เคยมีมาในอดีต ประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่มีรัฐสภา เป็นระบอบที่ข้าราชการจะต้องมีระเบียบวินัย เพราะข้าราชการการเมือง หรือคณะรัฐมนตรีมีบทบาทในการสั่งการและติดตามนโยบายการบริหารงานสาธารณะ การปกครองที่มีรัฐสภานั้น ถ้าหากผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแล้ว ประโยชนสุขย่อมมีแก่มหาชนแน่นอน แต่ถ้าผู้แทนราษฎรหรือผู้ทำหน้าที่แทนประชาชนในหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ไม่มีศักยภาพหรือเอาเปรียบรีดนาทาเร้นประชาชน ก็ย่อมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแน่นอน ตามระบอบหรือครรลองแห่งประชาธิปไตยแน่นอน ซึ่งอาจถึงขั้นทำรัฐประหารโดยทหารหรือพลเรือนก็ได้ โดยที่ประชาชนไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น ในระบอบการปกครองของไทยนั้น พรรคใดได้เสียงข้างมาก พรรคนั้นก็เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกัน พรรคที่อ้างว่า มีคะแนนเสียงข้างมากในสภามากที่สุด คือ พรรคชาติไทยเมื่อในอดีตก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่เป็นฝ่ายค้าน ดังนั้น รัฐศาสตร์ของไทยจึงไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนการเมืองต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันตก เพราะคนไทยมีจิตใจ มีความรู้สึก มีความต้องการขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ซึ่ง การเมืองการปกครองย่อมพลิกผัน ปรับตัวตามสถานการณ์ ลักษณะรัฐศาสตร์ไทยในแง่ การปกครองนั้น มี ส.ส.และพรรคการเมืองเป็นใหญ่ แต่ในสถานการณ์จริง ๆ นั้น ในพรรคการเมืองที่ไร้คุณภาพนั้น ขาดระเบียบวินัย ดำรงความเป็นพรรคอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจเงินตรา แม้กระทั่งรัฐบาลเองบางครั้งก็ถูกมองว่าไร้วินัย เช่นการออกกฎหมายโดยไม่ผ่านสภานิติบัญญัติ แต่ออกกฎหมายบังคับใช้โดยออกประกาศของคณะปฏิบัติ เป็นต้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว ทิศทางรัฐศาสตร์ไทย มีองค์กรต่าง ๆ มีสภาสูง สภาต่ำ ซึ่งเมื่อรวมเป็นรัฐบาลแล้ว ก็เหมือนเป็นการปกครองโดยบุคคลคณะหนึ่ง ไม่ใช่มาจากประชาชนตามลักษณะการเลือกตั้ง ทั้งนี้ เพราะบางครั้ง รัฐบาลใช้อำนาจหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกและเจตนาของประชาชนที่ได้มอบอำนาจอธิปไตยให้ไป ผลที่ตามมาอันเนื่องจากความไม่พอใจรัฐบาลก็คือ มีม็อบ การนัดหยุดงาน และการเดินขบวนต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลเองก็ห้ามไม่ได้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของครรลองประชาธิปไตย รัฐบาลจึงควรตระหนักว่าการกระทำทุกอย่างควรมีจุดมุ่งหมายที่การก่อให้เกิดประโยชน์ต่อราษฎร อย่าสักแต่คิดว่า รัฐศาสตร์ คือ ศาสตร์แห่งการปกครองประชาชน แต่ควรถือว่า ราษฎรเป็นทรัพย์สมบัติของรัฐ เป็นเหมือนปัจจัยในการผลิตอย่างหนึ่ง ทำอะไรก็ทำให้เกิดประโยชน์และรายได้แก่แผ่นดิน เกิดประโยชน์แก่ทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน เกิดประโยชน์แก่คนของแผ่นดินคือข้าราชการ
สิ่งที่ควรกล่าวถึงอีกประการหนึ่งคือ ในอดีตนั้น รัฐศาสตร์ไทย เป็นการปกครองที่ราษฎรเป็นของใครขึ้นอยู่กับสังกัด ใครมีเจ้าขุนมูลนาย ก็ไม่คิดจะเปลี่ยน เพราะถูกใจทั้งนายและบ่าว ราษฎรเองก็ต้องการมีเจ้าของเพื่อจะปกป้องคุ้มครองให้ตนพ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ถ้าเจ้าของนั้น เป็นเจ้าขุนมูลนายที่มีความเป็นธรรม มีใจเมตตากรุณา ก็ยิ่งมีความสุข ในขณะที่เจ้าขุนมูลนายที่รีดนาทาเร้น ราษฎรต้องไปหาเจ้าของที่อื่นให้เขามาช่วยป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประชาชนเริ่มรู้จักสิทธิ รู้จักหน้าที่ รู้จักประโยชน์ รู้จักที่จะรักษาประโยชน์ของตน และมีความประสงค์ที่จะแสวงหาประโยชน์เพิ่มเติมให้กับตน อยากจะมีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินใจ ตัดสินโชคชะตาของตนเอง มีการประชุมปรึกษาหารือ และร้องเรียนต่อผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจ ที่จะบันดาลอะไรให้เป็นไปได้ มีการพบปะหารือกันเสมอ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ามีความโน้มเอียงที่ประชาชน ที่แต่ก่อนเรียกว่า ราษฎร กำลังก้าวเข้ามามีส่วนสำคัญในการปกครองตนเอง ในขณะที่มีสภาผู้แทนราษฎร มีนักการเมืองเข้ามาเป็นรัฐมนตรี มีระบบประชาธิปไตยขั้นต่ำสุด คือ สภาตำบล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในปัจจุบัน ดังนั้น หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของรัฐบาล จึงควรออกไปปรับตัวปรับความเข้าใจ ประสานผลประโยชน์ให้กับประชาชน นั่นคือ ผู้ปกครองจะต้องเข้าใจและรู้ภูมิหลัง background ที่สามารถประสานงานกับประชาชนในเรื่องนั้น ๆ ได้ ในขณะที่รัฐศาสตร์ไทยยังต้องคำนึงถึงปัญหาในสังคมวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี รัฐศาสตร์จะเข้มแข็งก็ต่อเมื่อ กลไกในระบบราชการมีการเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ชิดประชาชน เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ องค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน และ ผู้ใหญ่บ้าน ได้ตระหนักถึงแนวโน้มในวิถีรัฐศาสตร์ไทย (คึกฤทธิ์ ปราโมช.๒๕๒๘ :๗-๑๕)
ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงตัวอย่างการมองภาพรัฐศาสตร์ไทยอย่างกว้าง ๆ เท่านั้น ในขณะที่ถ้ามองรัฐศาสตร์โดยทั่วไปเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง การศึกษาการเมืองจึงเป็นความพยามในการค้นหากฎเกณฑ์ ข้อสรุป หรือทฤษฎีเพื่อนำไปใช้อธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองหรือเพื่อนำไปใช้พยากรณ์เกี่ยวกับปรากฎการณ์ทางการเมืองในสังคมได้ การเมืองเกี่ยวข้องกับอำนาจและการกำหนดการมีส่วนร่วมในอำนาจที่ได้มา การได้มาซึ่งอำนาจ การใช้อำนาจและรักษาไว้ซึ่งอำนาจ การแย่งชิงอำนาจ การมอบหมายอำนาจ และการทวงอำนาจคืนจากรัฐบาลโดยประชาชน ทั้งโดยวิถีทางแห่งประชาธิปไตย และการปฏิวัติ รัฐประหาร เป็นต้น(สมศักดิ์ เกี่ยวกิ่งแก้ว. ๒๕๒๘ :๑-๒ )
อย่างไรก็ตามการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ยังรวมไปถึงการศึกษาเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แนวคิดและรูปแบบการบริหารการเมืองการปกครองของประเทศต่าง ๆ ทั้งที่เป็น ประชาธิปไตย เผด็จการ ที่มีผลสืบทอดถึงรูปแบบการปกครองของประเทศต่าง ๆในปัจจุบัน
การศึกษารัฐศาสตร์อันเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้น ประกอบด้วยเนื้อหาหลัก กล่าวคือ คือ บทนำ โครงสร้างของรัฐ อำนาจอธิปไตย รูปแบบรัฐบาล อำนาจ กระบวนการทางการเมือง กฎหมาย มติมหาชน การมีส่วนร่วมในการปกครอง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีการศึกษารายละเอียดในแต่ละบทสืบต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น